ฮาซัน ยื่นหนังสือเวทีชนกลุ่มน้อย UN รัฐต้องยุติการเลือกปฏิบัติ และปฏิบัติการที่รุนแรงต่อชาวมลายูมุสลิม



แปลโดย ชินทาโร่ ฮาร่า


เมื่อวันที่ 2-3 ธ.ค.64 ที่ผ่านมามีเวทีการประชุมในประเด็นชนกลุ่มน้อย ครั้งที่ 14 โดยสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในหัวข้อ “ความขัดแย้งและการปกป้องสิทธิมนุษยชนสำหรับชนชาติกลุ่มน้อย” การประชุมครั้งนี้ มีตัวแทนจากพื้นที่ชายแดนใต้/ปาตานี 2 ท่าน ได้แก่ นายฮาซัน ยามาดีบุ จาก Bungaraya Group และน.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ จากกลุ่มด้วยใจ ที่จะเป็นผู้อ่านคำแถลงต่อที่ประชุมในประเด็นการปกป้องสิทธิของชนกลุ่มน้อยในพื้นที่

ในการประชุมประเด็นชนกลุ่มน้อยในครั้งนี้ ตัวแทนจากพื้นที่ชายแดนใต้/ปาตานี ใช้วิธีการ ZOOM แต่ด้วยเกิดเหตุขัดข้องจากฝ่ายผู้จัดทำให้ตัวแทนทั้งสองไม่สามารถอ่านคำแถลงให้ในที่ประชุมรับฟังได้ สำหรับหนังสือแถลงนั้นตัวแทนทั้งสองท่านได้ส่งไปให้ที่ประชุมในกรุงเจนีวาเรียบร้อยแล้ว

ด้วยเหตุนี้ทางเพจ สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ CAP ได้เผยแพร่หนังสือแถลงของ ฮาซัน ตัวแทนกลุ่ม Bungaraya ที่ส่งไปให้ทาง UN ฉบับภาษาอังกฤษ ทาง The Motive จึงได้ขออนุญาตแปลแถลงดังกล่าวเป็นภาษาไทย

บทแปลของคำกล่าวโดย ฮาซัน ยามาดีบุ

ขอขอบคุณท่านประธาน

ผมชื่อฮาซัน ยามาดีบุ เป็นตัวแทนของ Bunga Raya Group ภายใต้สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนนอกภาครัฐ จากปาตานี ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย

มาตรา 1.1 ของปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของผู้คนที่เป็นชนกลุ่มน้อยทางสัญชาติหรือชาติพันธุ์ ศาสนา และภาษา (the Rights of Persons Belonging to National or Ethnic, Religious and Linguistic Minorities) กำหนดว่า “รัฐแต่ละรัฐจะต้องคุ้มครองการดำรงอยู่ซึ่งเอกลักษณ์ประจำชาติหรือชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนา และภาษาของชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในเขตแดนของรัฐ และควรส่งเสริมเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อพัฒนาอัตลักษณ์ของคนเหล่านี้”

อย่างไรก็ตามพวกเรามีความกังวลอย่างยิ่งว่า การปฏิบัติของประเทศไทยที่มีต่อชนกลุ่มน้อยมลายูมุสลิมในปาตานี ณ ภาคใต้ตอนล่างนั้นขัดแย้งกับข้อกำหนดดังกล่าว

จากการบังคับใช้กฎหมายพิเศษอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 ทำให้ชาวมลายูมุสลิมจำนวนมาก คนถูกจับกุมโดยใช้ข้อหา “ความมั่นคง” ถึงแม้ว่าหลังการสอบส่วนพบว่า 73 เปอร์เซ็นต์ของผู้ถูกจับกุมเหล่านี้เป็นผู้บริสุทธิ์ ฝ่ายรัฐยังเก็บตัวอย่างพันธุกรรม (DNA) ของชาวมลายูมุสลิมโดยการบีบบังคับ ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่เคยถูกฟ้องทางคดีอาญาด้วย โทรศัพท์มือถือทุกเครื่องที่ปาตานีต้องลงทะเบียนในระบบติดตามโดยนำลักษณะทางกายภาพ (biometric identity tracking system) และสิทธิของพวกเราที่ดำเนินชีวิตโดยปราศจากความหวาดระแวงและความรู้สึกไม่ปลอดภัย นโยบายเหล่านี้ใช้เฉพาะสำหรับชาวมลายูมุสลิมที่ปาตานีเท่านั้น เพราะเราเป็นชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการมีนายพลผู้ก่อการรัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรี

จากอดีตถึงปัจจุบัน พวกเราต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายยากลำบากในการปกป้องและรักษาคงไว้ซึ่งภาษาและวัฒนธรรมของเราภายใต้นโยบายผสมกลมกลืนและปฏิบัติการที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมของพวกเรา

ด้วยเหตุนี้ พวกเราเห็นด้วยกับข้อแนะนำจากเวทีระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่า “รัฐจะต้องส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม ศาสนาและภาษาของชนกลุ่มน้อยและชนพื้นเมือง และคุ้มครองพวกเขาจากการเลือกปฏิบัติตามอัตลักษณ์ เจตนาร้าย ความรุนแรงและความพยายามเพื่อผสมกลมกลืน”
.
ขอขอบคุณท่านประธาน

ฉบับภาษาอังกฤษ : https://www.facebook.com/968833873139438/posts/4641058109250311/