คืบหน้า คดีคาร์ม็อบยะลา เรียกเพิ่มอีก 9 รวม 12 ฅน

เมื่อวานนี้ (19 ส.ค.2564) เวลา 10.30 น. ผู้ถูกหมายเรียกในคดีคาร์ม็อบยะลา ครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.เมืองยะลา จำนวน 4 ฅน ประกอบด้วย นายอารอฟัต อาบู นายอับดุลซาตาร์ บาโล นายสารีฟฟุดดีน สาเมาะ และนายมะซอดี ดือรากี ส่วนอีก 1 ฅนไม่สามารถมาร่วมรับฟังในวันนี้ได้ .

อธิวัฒน์ เส้งคุ่ย ทนายความ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า “คดีคาร์ม็อบยะลาจะแบ่งเป็น 2 คดี เพราะจัดกิจกรรมฅนละวันกัน ครั้งที่ 1 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ส่วนครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ก็จะแบ่งเป็น 2 คดี หรือ วันละ 1 คดี ซึ่งคดีแรกจะมีผู้ต้องหาทั้งหมดตอนนี้ 7 ฅน ที่เรียกไปแล้วเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 3 ฅน ส่วนเมื่อวันที่ 18 ส.ค. อีก 4 ฅน จะเป็นน้องเยาวชนผู้หญิง 3 ฅน และผู้ชายอีก 1 ฅน ทั้ง 7 ฅน จะโดนข้อกล่าวหาทั้งหมด 5 ข้อ เหมือนกันทุกฅน.

ส่วนวันที่ 19 ส.ค. จะเป็นคดีที่สอง มีผู้ต้องหาทั้งหมด 5 ฅน แต่มาได้แค่ 4 ฅน เป็นน้องเยาวชนผู้ชายทั้งหมด ใน 4 ฅน จะมีน้องที่ไปร่วมทำสื่อ 1 ฅน เป็นน้องจาก Student Voice น้องเขาได้ให้การเพิ่มเติม แต่ภาพรวมทั้งหมดทุกฅนให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา.

และขั้นตอนหลังจากนี้เราจะขอให้การเป็นลายลักษณ์อักษร หรือ ยื่นให้การเป็นเอกสารเพิ่มเติม คดีที่ 1 จะยื่นภายในวันที่ 31 ส.ค. ส่วนคดีที่ 2 จะยื่นภายในวันที่ 2 ก.ย. และหากเสร็จจากกระบวนการนี้ พนักงานสอบสวนก็จะส่งผู้ต้องหาทั้งหมดไปยังพนักงานอัยการ เพื่อที่จะพิจารณาสำนวนคดีต่อไปว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่.

ซึ่งทั้ง 3 วันที่น้องๆ เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาจะมีความต่างตรงที่วันที่ 13 ส.ค. พนักงานสอบสวนมีคำร้องขอฝากขังทั้ง 3 ผู้ต้องหา แต่ผู้ต้องหาทุกฅนยื่นคัดค้านการฝากขัง เนื่องจากตนมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง สามารถติดต่อได้ รวมทั้งไม่มีพฤติการณ์การหลบหนี หรือ ยุ่งเหยิงต่อพยานหลักฐาน ศาลเลยยกคำร้องและปล่อยตัวโดยไม่ต้องประกันตัว.

ฉะนั้น ครั้งแรกนี้มันส่งผลต่อครั้งที่ 2 (18 ส.ค.) และครั้งที่ 3 (19 ส.ค.) เลยเห็นร่วมกันว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องฝากขัง พนักงานสอบสวนเลยไม่ได้มีการยื่นคำร้องฝากขังเหมือนครั้งแรก นี่คือข้อแตกต่าง” ทนายอธิวัฒน์ กล่าว.

อับดุลซาตาร์ บาโล ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคดีคาร์ม็อบยะลาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เปิดเผยให้กับ The Motive ว่า “ตนถูกกล่าวหาทั้ง 2 คดี ทั้งของวันที่ 1 และ 7 ส.ค. ซึ่งวันที่ผ่านมารวมทั้งวันนี้จะมีตนฅนเดียวที่ถูกไป 2 คดี รวมทั้งหมด 5 ข้อกล่าวหาเหมือนกันทั้ง 2 คดี คือ (1) ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจำนวนรวมมากกว่า 5 ฅน (2) ร่วมกันชุมนุม หรือ การจัดกิจกรรมเสี่ยงต่อการแพร่โรคระบาดในพื้นที่ที่มีประกาศ หรือ คำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (3) ส่งเสียง หรือ ทำให้เกิดเสียง หรือ กระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควร (4) ขับรถในลักษณะขีดขวางทางจารจร (5) หยุดรถในช่องทางเดินรถและในลักษณะกีดขวางทางจารจร” อับดุลซาตาร์ เผย.

มะซอดี ดือรากี นักข่าวจาก Student Voice ที่ไปร่วมเก็บภาพในกิจกรรมคาร์ม็อบยะลาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ตนก็โดนไป 5 ข้อกล่าวหาเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่บ้าน ทำให้ทางบ้านเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก ตนก็ได้อธิบายความเป็นมาให้ท่านฟังทั้งหมด เหมือนวันนี้หลังจากไปรับทราบข้อกล่าวหาเสร็จแล้วตนก็โทรไปเล่าให้ทางบ้านฟัง ทุกฅนก็สบายใจ เพราะเราไม่ได้ไปฆ่าแกงใคร” นักข่าวจาก Student Voice กล่าว.

พ.ต.ต.หญิง พนิดา หงษา พนักงานสอบสวน สภ.เมืองยะลา และผู้กล่าวหาในคดีที่ 2 เปิดเผยว่า “คดีนี้เราทำงานเป็นคณะ ถึงแม้ว่าจะมีชื่อตนเป็นผู้กล่าวหาในหมายเรียกก็ตาม แต่ถ้าหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมตนอยากเสนอให้ติดต่อไปทางหัวคณะ ซึ่งเป็นรองผู้กำกับ หรืออาจจะเป็นผู้กำกับ สภ.เมืองยะลา เลยก็ได้” ผู้กล่าวหาในคดีที่ 2 กล่าว.

ด้าน พ.ต.อ.ตรัยกฤษ์ ปัญญาไตรรัตน์ ผู้กำกับการ สภ.เมืองยะลา ซึ่งปรากฏทราบมาว่าเป็นผู้กล่าวหาในคดีแรก เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “เมื่อวานและวันนี้ผู้ต้องหาทุกฅนได้มาตามหมายเรียกเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย เหลือเพียงอีกแค่ 1 ฅนเท่านั้นที่ยังไม่มารับทราบข้อกล่าวหา หลังจากนี้จะมีผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ตรงนี้ผมไม่สามารถให้สัมภาษณ์ล่วงหน้าได้ ถ้าพบว่ามีกระทำความผิดเพิ่มเติมก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ เวลานั้น แต่ถ้าเหตุการณ์ยังไม่เกิดผมก็ตอบไปก่อนไม่ได้” ผู้กำกับการ สภ.เมืองยะลา กล่าว.

สารีฟฟุดดีน สาเมาะ อีกหนึ่งผู้ร่วมม็อบที่โดนข้อกล่าวหาน้อยที่สุด กล่าวว่า ผมโดนแค่ 3 ข้อกล่าวหา ตัดเรื่องจารจรข้อ 4 และข้อ 5 ไป เพราะผมไม่ได้ขับรถยนต์ไปเอง ผมนั่งอยู่ข้างๆ วันนั้นเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า ผมเข้าไปร่วมระหว่างทางแล้ว แต่บังเอิญวันนั้น (7 ส.ค.) ไม่มีรถยนต์นำขบวน เขาเลยขอช่วยให้ผมนำขบวนด้วยรถยนต์ .

แต่ผมส่งสัยอยู่อย่างคือ เจ้าหน้าที่รู้ได้อย่างไรว่าผมไปร่วมด้วย และรู้ด้วยว่าผมไม่ได้ขับรถ สังเกตจากข้อกล่าวหา รวมทั้งในสำนวนคดีก็ไม่มีภาพที่สามารถบ่งชี้ว่าผมนั่งอยู่ในรถนั้นจริง มีแค่ภาพรถยนต์รูปเดียวที่ถ่ายโดย Student Voice ผมมองว่า หน่วยข่าวกรองของเจ้าหน้าที่สุดยอดจริงๆ ทั้งที่ผมไม่ได้ลงจากรถเลย ไม่ได้ร่วมปราศรัยกับเขาด้วย แต่เขารู้ว่าผมอยู่ไหนและกำลังทำอะไร” สารีฟฟุดดีน.อารอฟัต อาบู กล่าวว่า “ผมไปร่วมม็อบแค่ครั้งเดียว คือ วันที่ 7 ส.ค. ครั้งแรกผมไม่ได้ไปร่วมด้วย ถ้ามีอีกและหากตรงกับวันที่ผมว่างผมก็จะไปร่วมม็อบอีก หากได้รับหมายเรียกอีกผมก็พร้อมที่จะสู้คดี รอบนี้โดนไป 5 ข้อกล่าวหา รอบหน้าไม่รู้ แต่อยากฝากให้ทุกฅนที่สนใจร่วมม็อบว่า หากตัดสินใจแล้วก็ต้องพร้อมที่จะรับผลที่จะตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมาย หรือ เรื่องที่มิชอบด้วยกฎหมาย” อารอฟัต กล่าวทิ้งท้าย.

#หมายเหตุ : ข่าวที่เกี่ยวข้อง

13 สิงหา ตร.เรียกเยาวชนปลดแอก 3 ฅน ฟังคดี “คาร์ม็อบยะลา”
(https://www.the-motive.co/carmobyala/),

อามา-แบเซะ-โจ๊ะ พบ ตร.รับทราบข้อหาคดี “คาร์ม็อบยะลา” ย้ำสู้จนกว่าประยุทธ์จะออก
(https://www.the-motive.co/carmobyala-2/).

#Article#คาร์ม็อบยะลา#Patani#TheMotive