
BRN BERSEDIA UNTUK MENYAMBUNG RUNDINGAN TETAPI TIDAK MELUTUT
.
วารสาร SURAT ฉบับที่ 116 พฤษภาคม/มิถุนายน 2568 หน้าที่ 8-9
แปลโดย ชินทาโร่ ฮาร่า
.
กระบวนการสันติภาพเป็นหนึ่งในวิธีการเพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขที่ดีที่สุด แต่ละฝ่ายต้องเจอหน้ากัน ยอมถอยหลังคนละก้าว และยังต้องบสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน (confidence building measures, CBM)
แต่หากดูจากท่าที่ของรัฐบาลไทยที่ไม่ยอมประนีประนอมและใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อทำลายชื่อเสียง การแสวงหาแนวทางแก้ไขก็ยิ่งสลับซับซ้อนขึ้น
สำหรับบีอาร์เอ็น กระบวนการสันติภาพไม่ใช่การคุกเข่าและวิงวอนจากอีกฝ่ายหนึ่ง บีอาร์เอ็นมีจุดยืนที่ชัดเจน และการทำลายชื่อเสียงของบีอาร์เอ็นในสายตาของประชาชนปาตานีก็ไม่ง่ายดังที่รัฐบาลคิดไปเอง
.
บีอาร์เอ็นจำเป็นต้องคุ้มครองความน่าเชื่อถือและศักดิ์ศรี ที่นี่ รัฐบาลไทยได้ยื่นเงื่อนไขล่วงหน้าเพื่อต่อยอดกระบวนการที่ชะงักลงไปมานาน เงื่อนไขเหล่านี้คือ บีอาร์เอ็นต้องยุติปฏิบัติการ ต้องเจรจากับบุคคลที่มีอำนาจ (ในองค์กร) และการเจรจาต้องเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญไทย และไม่พูดถึงประเด็นเอกราช แต่จริง ๆ แล้วแต่ละฝ่ายมีประเด็นที่ต้องการให้เป็นเงื่อนไขล่วงหน้า
.
ดังนั้น เงื่อนไขล่วงหน้าเหล่านี้เป็นประเด็นที่ควรพาไปคุยบนโต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการ บีอาร์เอ็นไม่ใช่สาเหตุของการชะงัก หรือการที่กระบวนการขาดความคืบหน้า แต่ (เหตุผลก็คือ) กระบวนการสันติภาพดำเนินมาเป็นเวลา 13 ปีโดยไม่ได้ตามมาตรฐาน และยังไม่เป็นวาระแห่งชาติอีก
ด้วยเหตุนี้ ในเมื่อมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รัฐบาลก็จะต้องแต่งตั้งคณะพูดคุยชุดใหม่ทุกครั้ง และคณะพูดคุยฝ่ายรัฐบาลไทยก็พยายามหลีกเลี่ยงการลงนามในข้อตกลงให้ได้ทุกครั้ง ความจริงแล้ว หากมีข้อตกลงจากโต๊ะเจรจาก็ควรมีการลงนามของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย เพราะการลงนามสามารถสร้างความมั่นใจระหว่างคู่เจรจา
(แล้วคำถามที่นี่ก็คือ) ใครพยายามล้มโต๊ะเจรจา ความคืบหน้าของกระบวนการสันติภาพก็ไม่ราบรื่น แต่ยังเปิดช่องทางต่าง ๆ และมีผลเชิงบวกเพื่อนำไปสู่จุดร่วมบางอย่างในการแสวงหาแนวทางแก้ไข เราจึงต้องตั้งคำถามว่า ทำไมกระบวนการสันติภาพต้องชะงัก
1. (กระบวนการสันติภาพล้มเหลว) เพราะไม่สำเร็จที่จะดำเนินการหยุดยิงหรือเปล่า ในการประชุมทีมเทคนิคครั้งล่าสุดระหว่างคู่เจรจาทั้งสองฝ่ายก็มีการพูดคุยประเด็นการเตรียมเพื่อข้อตกลงการหยุดยิงชั่วคราว พร้อมกับกลไกลการติดตาม (monitoring) และการมีส่วนร่วมของสังคมในการแสวงหาแนวทางแก้ไขทางการเมือง
2. (กระบวนการสันติภาพล้มเหลว) เพราะคณะพูดคุยของบีอาร์เอ็นไม่ได้รับมอบอำนาจในการตัดสินใจหรือเปล่า คณะพูดคุยของบีอาร์เอ็นได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาได้รับมอบอำนาจที่ทำข้อตกลงในประเด็นต่าง ๆ บนโต๊ะเจรจา
(ดังเช่น) บีอาร์เอ็นเคยทำการหยุดยิงหลายครั้ง อาทิ ในเดือนรอมฎอนปี 2566 ได้ยุติปฏิบัติการทางการทหารมาเป็นหนึ่งเดือน ถึงแม้ว่าไม่มีกลไกในการติดตาม (monitoring team) ในปี 2562 ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 บีอาร์เอ็นก็ประกาศการหยุดยิงมนุษยธรรมฝ่ายเดียวต่อสังคมโลกโดยเปิดช่องทางให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และด้านสาธารณสุขเพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ด้านมนุษยธรรมโดยไม่มีอุปสรรค
แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐบาลไทยดำเนินปฏิบัติการปิดล้อมหลาย ๆ ครั้งในทั่วพื้นที่จนถึงนักรบของบีอาร์เอ็นถูกวิสามัญฆาตกรรมและเสียชีวิตเป็นชะฮีด
3. (กระบวนการสันติภาพล้มเหลว) เพราะรัฐบาลไทยไม่เห็นด้วยกับแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติภาพแบบองค์รวม (JCPP) หรือเปล่า ที่จริงแล้ว JCPP ก็ยังไม่เป็นฉบับสุดท้าย และจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเพื่อให้เป็นข้อตกลงร่วมของทั้งสองฝ่าย
4. (กระบวนการสันติภาพล้มเหลว) เพราะรัฐบาลไทยอยากแสวงหายุทธศาสตร์ใหม่หรือเปล่า แต่ยุทธศาสตร์ใหม่นี้มีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงมากกว่าการแก้ไขด้วยวิธีการทางการเมือง
ตัวอย่างเช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเปิดช่องทางให้แก่กองทัพเพื่อปิดล้อมหมู่บ้านของชาวมลายูที่ถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนของนักต่อสู้ให้หมด หรือนโยบายที่จะใช้คำสั่ง 66/23 เพื่อชวนให้คู่กรณีมอบตัว แต่แนวทางเหล่านี้ก็ได้รับคำวิจารณ์อย่างหนักจากหลายฝ่าย
นี่เป็นเหตุให้รัฐบาลหันกลับมาที่กระบวนการสันติภาพ แต่ตั้งเงื่อนไขล่วงหน้าสำหรบการสานต่อ กระบวนการสันติภาพก็ไม่สิ้นสุดหากเบี่ยงเบนไปเป็นการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว
รัฐบาลไทยยังมีแนวคิดอันคับแคบเกี่ยวกับสันติภาพ ที่ผ่านมา ในเมื่อความพยายามเพื่อดำเนินกระบวนการสันติภาพยังไม่จบ แต่อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นไปสู่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ความขัดแย้งที่ปาตานี ทั้ง ๆ ที่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ประชาชนปาตานีให้ความสำคัญเท่ากับการสร้างสันติภาพ
นอกจากนี้ การพัฒนาที่นำโดยรัฐบาลก็ไม่ได้นำประโยชน์ต่อประชาชนปาตานี แต่รับใช้ผลประโยชน์ของพวกนายทุนและนักธุรกิจจากพื้นที่อื่น โครงการประเภทเมกะโปรเจกต์ที่ปาตานีก็ไม่ได้รับความยินยอมจากประชาชนในพื้นที่ เพราะมันจะทำลายสัญลักษณ์แห่งความเป็นปาตานี และย่อมนำไปสู่การทำลายระบบนิเวศ วัฒนธรรม ฯลฯ และที่สำคัญคือ ทำให้เศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่ตกต่ำลงอีก
ด้วยเหตุนี้ เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพไปข้างหน้า รัฐบาลไทยจำเป็นต้องแสดงทิศทางและการมีส่วนร่วมในกระบวนการอย่างชัดเจน และตามมาตรฐานที่ถูกนำมาใช้ในพื้นที่ความขัดแย้งอื่น ๆ ในโลกด้วย ไม่ใช่แค่ทำท่ากับสังคมนานาชาติว่า กระบวนการสันติภาพกำลังดำเนินอยู่
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้บรรลุผลสำเร็จอะไร สถานการณ์ก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นในเมื่อรัฐบาลไทยบิดเบือน ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในพื้นที่หรือโต๊ะเจรจา และเกิดทัศนคติต่าง ๆ เกี่ยวกับกระบวนการ บางคนมีทัศนคติเชิงบวก ส่วนบางคนก็มีความเห็นเชิงลบ จนถึงรัฐบาลไม่ทราบว่า ควรให้ความสำคัญกับกระบวนการสันติภาพหรือปฏิบัติการทางการทหารในพื้นที่
แต่ที่แน่นอนก็คือ คนที่เป็นเหยื่อของความขัดแย้งคือประชาชน และพวกเขาต้องเป็นแพะรับบาปตลอด
.
.
หมายเหตุ :
1. The Motive เปิดพื้นที่ของการสื่อสาร ทำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
2.บทความนี้ แปลจาก วารสาร SURAT ฉบับ 116 พฤษภาคม/มิถุนายน 2568 หน้าที่ 8-9 แปลโดยชินทาโร่ ฮาร่า ซึ่งทาง The Motive เล็งเห็นถึงประโยชน์จากบทความดังกล่าวเพื่อให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจต่อกระบวนการสันติภาพปาตานีจากมุมมองของฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐ และได้รับอนุญาตการแปลความจากกองบรรณาธิการของวารสาร SURAT ซึ่งเป็นวารสารภาษามลายู (รูมี-ยาวี) ที่เผยแพร่อยู่ในต่างประเทศและพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ ในรูปแบบของไฟล์พีดีเอฟ มีลักษณะของการส่งต่อในอีเมลล์ เพื่อสื่อสารเรื่องราวสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับขบวนการเอกราชปาตานีในปัจจุบัน