
DENGAN MEMBEKUKAN PROSES KEADAAN TIDAK BERTAMBAH BAIK
.
วารสาร SURAT ฉบับที่ 117 เดือนกรกฎาคม 2568 หน้าที่ 8-9
แปลโดย ชินทาโร่ ฮาร่า
.
รัฐบาลไทยไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งด้วยอาวุธที่ปาตานีฝ่ายเดียว สถานการณ์ยิ่งรุนแรงและการใช้ความรุนแรงก็ยิ่งแพร่หลาย การประเมินของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งที่ปาตานีไม่ถูกต้องตั้งแต่ความขัดแย้งเกิดขึ้นในปี 2547 จนถึง 2568 รัฐบาลที่เน้นวิธีการทางการทหารมากกว่ายุทธศาสตร์ทางการเมืองมีผลสำเร็จอะไรบ้าง
ไม่ว่าภายใต้รัฐบาลทหารหรือรัฐบาลพลเรือน ตามที่มีความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลา 21 ปี รัฐบาลแค่เผาผลาญงบประมาณห้าแสนกว่าล้าน ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่า 7,000 คน และอีก 13,000 กว่าคนได้รับบาดเจ็บ รัฐบาลไทยปล่อยให้กระบวนการเจรจาสันติภาพถูกชะงักมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี โดยไม่แต่งตั้งคณะพูดคุย
(ผลที่ตามมาก็คือ) ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มขึ้น และยังไม่มีวีแววว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นที่ปาตานีในอนาคตอันใกล้ ประชาชนในพื้นที่ก็แค่ส่งเสียงถึงรัฐบาลเพื่อเรียกร้องการแต่งตั้งคณะเจรจาโดยเร็วเท่านั้น ในเมื่อกระบวนการไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จะเกิดการเดาต่าง ๆ ในสังคมพื้นที่ที่คิดว่า ฝ่ายรัฐบาลไทยตั้งใจจะไม่แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
เพราะตราบใดที่ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด งบประมาณก็จะเข้ามาในพื้นที่ความขัดแย้ง และมีพวกที่กอบโกยผลประโยชน์ส่วนตัวจากงบประมาณนั้น บางคนบอกว่า กระบวนการสันติภาพไม่สร้างผลกำไรต่อรัฐบาลและเป็นประโยชน์ของนักต่อสู้ (ปลดปล่อยปาตานี) เท่านั้น
รัฐบาลไทยรู้สึกว่า ในกระบวนการสันติภาพไม่มีผลกำไรสำหรับพวกเขา เพราะฝ่ายรัฐบาลให้สถานะของกระบวนการเป็นความมั่นคง ไม่ใช่สันติภาพ (ชื่อของกระบวนการไม่ใช่กระบวนการ “สันติภาพ” แต่เป็น “สันติสุข”) แต่ในพื้นที่ความขัดแย้งอื่น ๆ บนโลก วิธีการดำเนินการะบวนการเจรจาที่สมควรก็คือ
การแสวงหาสันติภาพนอกจากตัวเลือกเอกราช และนี่กระบวนการสันติภาพเป็นวิธีการที่ควรที่จะใช้เพราะกระบวนการสันติภาพเกิดขึ้นระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ส่วนกระบวนการเพื่อความมั่นคงเกิดขึ้นแค่ฝ่ายเดียว
ในขณะเดียวกัน กระบวนการเจรจาสันติภาพจะเป็นประโยชน์ต่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเมื่อสามารถสร้างสันติภาพได้สำเร็จ หากพิจารณาความคืบหน้าของกระบวนการสันติภาพในช่วงเวลา 13 ปีตั้งแต่ 2556 โดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า กระบวนการนี้มีเป้าหมายเพื่อแสวงหาสันรติภาพ และทิศทางของกระบวนการก็ได้รับความเห็นชอบจากการลงนามในฉันทามติทั่วไปว่าด้วยกระบวนการพูดคุยสันติภาพ 2556 ความริเริ่มเบอร์ลิน 2562 และหลักการทั่วไป 2564
ซึ่งมีลักษณะเป็นบันทึกความเข้าใจ (memorandum of understanding, MoU) สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจทั้งสามฉบับโดยสรุปก็คือ (คู่กรณีทั้งสองฝ่าย) ตกลงการที่จะแสวงหาสันติภาพและยุติการเป็นปรปักษ์กัน ส่วนสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ได้ดีขึ้นแต่ทวีรุนแรงขึ้น ดังที่เหตุการณ์เมื่อหลายสัปดาห์ที่แล้ว ความตึงเครียดในพื้นที่ระบาดออกไปนอกพื้นที่ความขัดแย้ง (เหตุวางระเบิดที่ภูเก็ต – ผู้แปล)
ปฏิบัติการดังกล่าวอาจจะมีเป้าหมายเพื่อเตือนรัฐบาลไทยหลังจากมีปฏิบัติการ (ของฝ่ายความมั่นคงรัฐ) ต่อประชาชนพลเรือนปาตานีที่โหดเหี้ยมและไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม และยังมีการควบคุมตัวพลเรือนโดยพลการทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
การบังคับใช้กฎอัยการศึกในปฏิบัติการได้รับคำวิจารณ์จากภาคประชาสังคมทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ด้วย ในการสอบสวนผู้ที่ถูกจับกุม เจ้าหน้าที่จะถามคำถามดั้งนี้
1. เคยเข้าร่วมกิจกรรมชุดมลายูและวัฒนธรรมมลายูไหม
2. เคยเข้าร่วมกิจกรรมสร้างซุ้มประตู (pintu gerbang) ของหมู่บ้านหรือมัสยิดไหม
คำถามเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลไทยมีความอ่อนไหวต่อวัฒนธรรมมลายู ทั้ง ๆ ที่สังคมมลายูปาตานีเองยังพยายามรักษาคงไว้วัฒนธรรมมลายู อย่างไรก็ตาม ประชราชนมลายูยังอยู่บนแผ่นดินปาตานี ปกป้องศาสนาที่เป็นวัฒนธรรมของชาติเพราะวัฒนธรรมนั้นเป็นมรดกที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของสังคมมลายูปาตานี
หากวัฒนธรรมถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัฐไทย รัฐบาลไทยต้องศึกษาค้นคว้าหลักการในการอยู่ร่วมกันและพหุวัฒนธรรม แต่หากทุกชาติพันธ์ถูกบังคับให้เป็นไทย มันไม่ใช่สังคมที่มีความหลากหลายเลย
ยิ่งร้านแรงกว่านั้นก็คือ มีการรณรงค์และการข่มขู่เพื่อให้เกิดความเกลียดจังและคนที่ใส่ชุดมลายูหรือพูดมลายูก็ถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นต่ำ รัฐบาลยังมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อชุดมลายูและการสร้างปินตู เฆอรบัง (pintu gerbang) ซุ้มประตูในช่วงเดือนรอมฎอนด้วย
ทั้ง ๆ ที่ตามความหมายที่เป็นที่รับรู้ในสังคม การสร้างซุ้มประตูนั้นเท่ากับการกล่าวยยินดีต้อนรับมาสู่มัสยิดหรือหมู่บ้าน เช่นเดียวกันกับชาวไทยพุทธที่สร้รางซุ้มประตูในทุกหมู่บ้านและสถานที่ประกอบศาสนกิจของพวกเขาที่ทั่วพื้นที่ปาตานี
คนมลายูมุสลิมไม่ขีดกั้นและห้ามศาสนาและวัฒนธรรมของแต่ละชาติพันธ์ เพราะสิ่งเรานี้มีคุณค่าเท่าชีวิตสำหรับชาติใดชาติหนึ่ง การกระทำของรัฐบาลไทยที่ปาตานีทำให้สังคมมลายูปาตานีสะสมความไม่พอใจ ซึ่งทำให้การแก้ไขความขัดแย้งยิ่งยากขึ้น และความขัดแย้งจะไม่สิ้นสุดหากแนวทางแก้ไขไม่ยุติธรรมและเคารพศักดิ์ศรี
.
หมายเหตุ :
1. The Motive เปิดพื้นที่ของการสื่อสาร ทำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
2.บทความนี้ แปลจาก วารสาร SURAT ฉบับ 117 เดือนกรกฎาคม 2568 หน้าที่ 8-9 แปลโดยชินทาโร่ ฮาร่า ซึ่งทาง The Motive เล็งเห็นถึงประโยชน์จากบทความดังกล่าวเพื่อให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจต่อกระบวนการสันติภาพปาตานีจากมุมมองของฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐ และได้รับอนุญาตการแปลความจากกองบรรณาธิการของวารสาร SURAT ซึ่งเป็นวารสารภาษามลายู (รูมี-ยาวี) ที่เผยแพร่อยู่ในต่างประเทศและพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ ในรูปแบบของไฟล์พีดีเอฟ มีลักษณะของการส่งต่อในอีเมลล์ เพื่อสื่อสารเรื่องราวสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับขบวนการเอกราชปาตานีในปัจจุบัน