รัฐบาลประชาธิปไตยของไทยไม่มีจุดยืนในกระบวนการเจรจาสันติภาพ

รัฐบาลประชาธิปไตยของไทยไม่มีจุดยืนในกระบวนการเจรจาสันติภาพ
KERAJAAN DEMOKRASI THAI GOYAH DENGAN PROSES RUNDINGAN DAMAI
.
วารสาร SURAT ฉบับที่ 112 มกราคม 2025 หน้าที่ 6-7
แปลโดย ชินทาโร่ ฮาร่า

.
นายกรัฐมนตรีไทยที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ก็ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนต่อกระบวนการสันติภาพที่ปาตานีเลย การแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ให้ความสำคัญแก่การสร้างสันติภาพ หรือว่ารัฐบาลตั้งใจจะทำให้การแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีนั้นล้มเหลวหรือเปล่า เพราะฝั่งไทยมีแนวโน้มที่จะแก้ไขความขัดแย้งด้วยวิธีการรุนแรงทางการทหารมากกว่า
.
ทั้ง ๆ ที่กระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่นั้นเริ่มได้ผลและนำไปสู่ทิศทางของการสร้างความไว้วางใจกันระหว่างคู่กรณีในการเจรจาหลังจากมีความร่วมมือเพื่อพัฒนา “แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติภาพแบบองค์รวม (JCPP)” ถึงแม้ว่าการพัฒนา JCPP ยังไม่สิ้นสุดอย่างสมบูรณ์ แต่ (หากมีข้อตกลงในแผยปฏิบัติการดังกล่าว) กระบวนการก็จะสามารถคืบหน้าได้อย่างค่อย ๆ ไป
.
คำถามที่มาจากหลายฝ่ายก็คือ ทำไมรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรไม่มีความจริงจังและการทำงานอย่างชัดเจนเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่สี่จังหวัด (ชายแดนภาคใต้หรือปาตานี) ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลชุดนี้ได้รับการแต่งตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย นักวิเคราะห์บางคนที่ติดตามกระบวนการสันติภาพอย่างใกล้ชิดกล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาที่ปาตานีได้ถูกกลืนโดยนโยบายของอำนาจเผด็จการและสายอนุรักษ์นิยมไทยจนถึงปัญหาความขัดแย้งไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ยิ่งนำไปสู่การใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องระหว่างทั้งสองฝ่าย
.
รัฐบาลไทยกำลังแสวงหาทางเลือกสำหรับความสงบที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปาตานี) โดยไม่ผ่านกระบวนการสันติภาพ หนึ่งทางเลือกคือนโยบายมอบตัวหรือ (โครงการ) พาคนกลับบ้าน ในโครงการดังกล่าว ฝ่ายรัฐไทยโน้มน้าวหรือบังคับให้นักต่อสู้มอบตัว และ (ผู้ที่มอบตัว) จะได้รับโอกาสอภัยโทษและให้ร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อการพัฒนาและทำให้การปกครองแบบอาณานิคมที่ปาตานี
.
ในอีกด้าน ฝ่ายรัฐก็จัดตั้งกองกำลังลับหรือที่รู้จักกันในนาม “ทีมเก็บ” เพื่อดำเนินการสังหารบุคคลสำคัญในประชาสังคมที่ถูกสงสัยว่าเป็นนักต่อสู้หรืออดีตผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง โมเดลการแก้ไขที่ว่านี้เป็นโมเดลเก่าที่มักจะถูกนำมาใช้โดยรัฐบาลเป็นระยะในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้
.
การดำเนินการนโยบายของรัฐไทยดังกล่าวนั้นส่งผลที่ทำให้การลุกขึ้นของประชาชนปาตานีเพื่อการปกครองตนเองในพื้นที่ดังกล่าว (ปาตานี) ยุติลงเช่นเดียวกันกับวิธีการที่รัฐไทยใช้เพื่อสะกัดกั้นการลุกขึ้นของประชาชนก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตาม การลุกขึ้นของประชาชนปาตานีในครั้งนี้ดำเนินมาเป็นเวลาสองทศวรรษกว่า และยังไม่มีแววที่จะยุติลงดังที่ผู้นำไทยทุกคนคาดหวัง แต่ความขัดแย้งที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปาตานี) นับวันก็ยิ่งระอุขึ้น
.
รัฐไทยไม่ตระหนักถึงคุณค่าและไม่มีความเคารพต่อชาติมลายูที่ปาตานี และคนมลายูที่ปาตานีก็ตกเป็นเหยื่อของการกดขี่และการใช้ความรุนแรงของรัฐไทยที่อาศัยระบอบอนุรักษ์นิยมที่ไม่ให้ความสำคัญแก่ความหลากหลายของชีวิตประชาชน รัฐไทยพยายามทำลายวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาติมลายูปาตานีอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวปาตานีก็ไม่เคยยุติลง แต่มีอยู่ตลอดจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นต่อไป
.
แท้จริงแล้ว กระบวนการสันติภาพเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดเพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขสำหรับความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาเป็นหลายร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของประเทศใดก็ตามบนโลกนี้ พวกเขาก็จะหาแนวทางแก้ไขที่ดีที่สุด ที่จะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย แต่ทำไมรัฐบาลไทยไม่สนใจที่จะแสวงหาทางออกทางการเมืองเลย อาจจะมีเหตุผลบางอย่างดังนี้
1. รัฐบาลไทยอาจจะมองว่า ตนเป็นรัฐบาลสำหรับประชาชนคนส่วนมากซึ่งเป็นเชื้อสายสยามที่นับถือศาสนาพุทธ แต่ประชาคมปาตานีประกอบด้วยคนเชื้อสายมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม และเป็นคนกลุ่มน้อยในประเทศไทย ดังนั้น พวกเขามีอำนาจเหนือกว่าคนกลุ่มน้อย

2. รัฐบาลไทยไม่ต้องการให้มีฝ่ายที่สามมาแทรกแซงในกิจการภายใน แต่เมื่อกระบวนการสันติภาพก็จำเป็นต้องให้ฝ่ายที่สามมีส่วนร่วม อย่างน้อยต้องให้พวกเขาเป็นพยานสำหรับความคืบหน้าของกระบวนการ

3. นักวิชาการไทยที่มีแนวโน้มอนุรักษ์นิยมมักจะนำเสนอความเห็นเชิงลบเหลือเกินต่อกระบวนการสันติภาพ เสมือนไม่มีข้อดีใด ๆ มีแต่ความเสียหายเท่านั้นต่อฝ่ายรัฐบาล

4. รัฐบาลไทยยังเชื่อมั่นว่า กองทัพไทยสามารถปราบปรามขบวนการที่ให้เกิดสถานการณ์ไม่สงบในประเทศ ทั้ง ๆ ที่การเคลื่อนไหวที่ปาตานีดำเนินมาเป็นเวลา 21 ปีและนับวันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น หัวใจสำคัญในกระบวนการสันติภาพก็คือ (การแสวงหา) ทางออกทางการเมืองพร้อมกับการยุติการเป็นปรปักษ์กันหรือการลดการใช้ความรุนแรง นี่คือกุญแจสำคัญนการแสงหาแนวทางแก้ไข
.
สำหรับนักต่อสู้ (ขบวนการ) ทางออกทางการเมืองเป็นกุญแจสำคัญ แต่สำหรับฝ่ายรัฐบาลแล้ว ประเด็นสำคัญคือการยุติการเป็นปรปักษ์กันหรือการลดการใช้ความรุนแรง ทั้งสองประเด็นเป็นความต้องการของแต่ละฝ่าย
.
ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่การเป็นศัตรูกันระหว่างทั้งสองฝ่ายนี้ยังดำเนินอยู่ถึงแม้ว่ามีกระบวนการเจรจาก็ตาม เพราะยังไม่มีจุดร่วมเกี่ยวกับข้อตกลงทางออกทางการเมืองและการยุติการเป็นปรปักษ์กันอะไรเลย
.
ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพโดยตรงหรือทางอ้อมก็ติดตามและรอคอย (ความคืบหน้าของกระบวนการดังกล่าว) กระบวนการนี้จะได้รับการต่อยอดหรือไม่ก็ถูกปล่อยอย่างนั้นโดยไม่มีจุดจบนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทย ในขณะเดียวกัน สังคมในพื้นที่เรียกร้องต่อรัฐบาลตลอดเพื่อให้แต่งตั้งคณะพูดคุยของฝั่งไทยเพื่อดำเนินกระบวนการเจรจาสันติภาพต่อ เพราะความขัดแย้งไม่สามารถจะสิ้นสุดหากปราศจากการเจรจา
.
หมายเหตุ : แปลจาก วารสาร SURAT ฉบับ 112 มกราคม 2025 หน้าที่ 6-7 แปลโดยชินทาโร่ ฮาร่า ซึ่งทาง The Motive เล็งเห็นถึงประโยชน์จากบทความดังกล่าวเพื่อให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจต่อกระบวนการสันติภาพปาตานีจากมุมมองของฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐ และได้รับอนุญาตการแปลความจากกองบรรณาธิการของวารสาร SURAT ซึ่งเป็นวารสารภาษามลายู (รูมี-ยาวี) ที่เผยแพร่อยู่ในต่างประเทศและพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ ในรูปแบบของไฟล์พีดีเอฟ มีลักษณะของการส่งต่อในอีเมลล์ เพื่อสื่อสารเรื่องราวสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับขบวนการเอกราชปาตานีในปัจจุบัน
.