การวิเคราะห์ผลงานของสุรินทร์ พิศสุวรรณ และอิมรอน มะลูลีม ต่อความเข้าใจปัญหาปาตานี/ชายแดนภาคใต้

.
ปัญหาความขัดแย้งในปาตานี/ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม และการเมือง สองนักวิชาการที่มีบทบาทสำคัญในการศึกษาและอธิบายปัญหานี้ ได้แก่ สุรินทร์ พิศสุวรรณ และอิมรอน มะลูลีม ซึ่งได้นำเสนอมุมมองที่ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
.
สุรินทร์ พิศสุวรรณ กับวิทยานิพนธ์เรื่อง Malay Nationalism

สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นทั้งนักวิชาการและนักการเมืองที่เชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์และสังคมมลายู วิทยานิพนธ์ของเขาในหัวข้อ Malay Nationalism ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในงานศึกษาที่ดีที่สุดเกี่ยวกับหะยีสุหลง ผู้นำชาวมลายูมุสลิมที่เรียกร้องสิทธิและอัตลักษณ์ของชุมชนตนเองในประเทศไทย

สุรินทร์วิเคราะห์ว่า แนวคิดชาตินิยมมลายูในภาคใต้ของไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่การเรียกร้องเอกราชหรือการแยกตัวออกจากรัฐไทยเท่านั้น แต่เป็นผลมาจากกระบวนการสร้างรัฐชาติไทยที่รวมศูนย์อำนาจและพยายามกลืนกลายอัตลักษณ์ท้องถิ่น เขาชี้ให้เห็นว่าการกดทับทางวัฒนธรรมและศาสนาเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจและนำไปสู่ความขัดแย้ง

การศึกษาของสุรินทร์ทำให้เราเข้าใจว่าปัญหาชายแดนใต้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความมั่นคงหรือกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่ยังเป็นผลจากความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่างรัฐกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น เขาเน้นว่าการแก้ปัญหาควรมุ่งเน้นไปที่การยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเปิดโอกาสให้ชาวมลายูมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเองภายในกรอบของรัฐไทย
.
ส่วน อิมรอน มะลูลีม กับการวิเคราะห์ความขัดแย้งใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้

อิมรอน มะลูลีม เป็นนักวิชาการที่มุ่งศึกษาความขัดแย้งในชายแดนภาคใต้ผ่านมิติทางสังคมและการเมือง งานเขียนของเขาทำให้เห็นภาพรวมของปัจจัยที่ก่อให้เกิดความรุนแรงและความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องในพื้นที่

อิมรอนให้ความสำคัญกับโครงสร้างอำนาจในพื้นที่ชายแดนใต้ เขาชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งไม่ได้เกิดจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับกลไกรัฐที่ล้มเหลวในการสร้างความไว้วางใจและความชอบธรรมในการปกครอง อิมรอนเสนอว่ารัฐไทยควรมีนโยบายที่เปิดกว้าง รับฟังเสียงของประชาชน และสร้างแนวทางการบริหารที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
.
นอกจากนี้ อิมรอนยังเน้นย้ำถึงบทบาทของศาสนา โดยชี้ให้เห็นว่าศาสนาอิสลามไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดความรุนแรง แต่เป็นเรื่องของการตีความและการนำไปใช้ในเชิงการเมืองที่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น งานของเขาทำให้เห็นว่าการแก้ปัญหาชายแดนใต้ไม่สามารถพึ่งพามาตรการด้านความมั่นคงเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยแนวทางการพัฒนา การเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย
.
แม้ว่าสุรินทร์และอิมรอนจะมีแนวทางการศึกษาและวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน แต่ผลงานของพวกเขามีจุดร่วมที่สำคัญ นั่นคือการมองปัญหาชายแดนใต้ในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่เรื่องของกลุ่มก่อความไม่สงบหรือมาตรการทางทหารของรัฐ
.
สุรินทร์เน้นที่ประวัติศาสตร์และแนวคิดชาตินิยมมลายู ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจรากเหง้าของปัญหาและความรู้สึกของชาวมลายูที่มีต่อรัฐไทย ขณะที่อิมรอนมุ่งเน้นไปที่โครงสร้างอำนาจและกลไกรัฐที่ส่งผลต่อความขัดแย้งในปัจจุบัน

การทำความเข้าใจงานของทั้งสองท่านช่วยให้เห็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ครอบคลุมมากขึ้น รัฐไทยควรมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนนโยบายให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงส่งเสริมความเข้าใจทางวัฒนธรรมและศาสนา เพื่อสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในระยะยาว ทั้งคู่ชี้ให้เห็นว่าแก่นแท้ของปัญหานี้คือโครงสร้างทางการเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคงหรือการทหาร รากเหง้าของความขัดแย้งมาจากโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐส่วนกลางที่รวมศูนย์อำนาจกับท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์และประวัติศาสตร์ของตนเอง
.
แนวทางแก้ไขจึงไม่ใช่การใช้กำลัง แต่เป็นการปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจให้สมดุล เปิดพื้นที่ให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง ซึ่งเป็นแนวคิดที่แม้แต่รัฐเองก็ยอมรับ ผ่านนโยบายกระจายอำนาจที่ถูกผลักดันในช่วงที่ผ่านมา เพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและยั่งยืน
.
ดังนั้นปัญหาความรุนแรงในปาตานี/ชายแดนใต้มีรากเหง้ามาจากโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐส่วนกลางที่รวมศูนย์อำนาจกับท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ของตนเอง ไม่ใช่แค่ปัญหาความมั่นคงหรือการทหาร การทหารเป็นเพียงผลลัพธ์ของปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
.
แนวทางแก้ไขที่แท้จริงคือการปรับโครงสร้างอำนาจให้สมดุล เปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง ซึ่งเป็นแนวคิดที่แม้แต่รัฐเองก็ยอมรับผ่านนโยบายการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ที่ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจและการหาทางออกอย่างสันติ

.
เรียบเรียง : ซาฮารี เจ๊ะหลง