ทำไมสังคมไทยจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกระบวนการสันติภาพในปาตานี/ชายแดนใต้?

.
แม้กระบวนการสันติภาพในปาตานี/แดนภาคใต้ จะมีความก้าวหน้าที่สำคัญในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ประเด็นนี้กลับไม่ได้รับความสนใจมากนักจากสังคมไทยโดยรวม อาจเป็นเพราะหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การรับรู้ของสังคม วัฒนธรรมทางการเมือง และโครงสร้างของสื่อมวลชนไทย
.
การรับรู้ของสังคมและลำดับความสำคัญของประเด็นปัญหา สังคมไทยส่วนใหญ่มองว่าปัญหาความขัดแย้งในปาตานี/ชายแดนใต้เป็นเรื่องไกลตัว และไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของพวกเขา ประเด็นนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องของ “พื้นที่เฉพาะ” หรือ “พื้นที่พิเศษ” มากกว่าที่จะเป็นปัญหาระดับชาติ ทำให้กระบวนการสันติภาพในพื้นที่นี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในระดับประเทศที่ส่งผลต่อประชาชนโดยตรงมักถูกให้ความสำคัญมากกว่า
.
ประเด็นสำคัญคือเรื่องของวัฒนธรรมทางการเมืองและท่าทีของรัฐไทย ที่ผ่านมารัฐไทยเน้นไปที่แนวทางการรักษาความมั่นคงมากกว่าการสร้างสันติภาพ แม้ว่าจะมีการเจรจาเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่รัฐไทยเองก็ไม่ได้มีแนวทางชัดเจนในการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญของกระบวนการสันติภาพ อีกทั้งความไม่ต่อเนื่องของนโยบายจากรัฐบาลที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยทำให้ความสนใจของสังคมที่มีต่อปัญหานี้ลดลง
.
แต่ถึงกระนั้น บทบาทของสื่อมวลชนที่เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารเรื่องราวความซับซ้อนของปัญหาความขัดแย้งนี้ เรากลับไม่ค่อยได้เห็น เพราะสื่อไทยส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับข่าวที่มีลักษณะเร้าอารมณ์ เช่น ข่าวอาชญากรรม การเมือง และปัญหาเศรษฐกิจ มากกว่าการรายงานความก้าวหน้าของกระบวนการสันติภาพในปาตานี/ชายแดนใต้ นอกจากนี้ การนำเสนอข่าวเกี่ยวกับพื้นที่มักเน้นไปที่เหตุการณ์ความรุนแรงมากกว่าความพยายามในการสร้างสันติภาพ ทำให้ประชาชนไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับพัฒนาการในกระบวนการดังกล่าว นั่นจึงทำให้ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน
.
แม้ว่ากระบวนการสันติภาพในภาคใต้จะมีความก้าวหน้าขึ้น แต่ประชาชนทั่วไปกลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการนี้มากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะขาดช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลหรือขาดการกระตุ้นจากภาครัฐและภาคประชาสังคมให้เกิดการมีส่วนร่วม เมื่อประชาชนไม่ได้มีบทบาทโดยตรง พวกเขาก็อาจรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
.
แนวทางแก้ไขเพื่อให้สังคมไทยให้ความสำคัญกับกระบวนการสันติภาพในปาตานี/ชายแดนใต้มากขึ้น เพื่อให้กระบวนการสันติภาพได้รับความสนใจจากสังคมไทย ควรมีการดำเนินการในหลายด้าน เช่น

1. การสื่อสารเชิงรุกจากภาครัฐ – รัฐบาลควรมีแนวทางที่ชัดเจนในการสื่อสารเกี่ยวกับความสำคัญของสันติภาพ และสร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชนว่าปัญหานี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น แต่ส่งผลต่อเสถียรภาพของประเทศโดยรวม

2. การส่งเสริมให้สื่อมวลชนรายงานข่าวในเชิงสร้างสรรค์ – สื่อควรนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับความพยายามสร้างสันติภาพมากขึ้น เช่น ความคืบหน้าของกระบวนการเจรจา หรือบทบาทของประชาสังคมในการแก้ไขปัญหา มากกว่าการรายงานเพียงเหตุการณ์ความรุนแรง

3. การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม – ควรมีการจัดเวทีเสวนาหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประชาชนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางสันติภาพ และส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีบทบาทในการผลักดันกระบวนการสันติภาพมากขึ้น รวมถึงยุติการฟ้องร้องคดีความที่ไม่เป็นธรรมต่อนักเคลื่อนไหวทางสังคมโดยอ้างความมั่นคงได้แล้ว

4. การเรียนรู้จากกรณีศึกษาต่างประเทศ – การนำเสนอกรณีศึกษาจากประเทศอื่นที่เคยเผชิญกับความขัดแย้งและมีแนวทางจัดการที่ประสบความสำเร็จ อาจช่วยให้สังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการสันติภาพ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ในภาคใต้ได้
.
แนวทางต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่มีการนำเสนอจากหลายฝ่ายที่อยากเห็นการนำไปสู่ภาคปฏิบัติจริงที่มากกว่าแค่การนำเสนอเพียงอย่างเดียว นี่คือความท้าทายของกระบวนการสันติภาพปาตานี เพราะในการขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพ จำเป็นต้องตระหนักถึงความท้าทายที่สำคัญ เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง อุปสรรคด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง และความซับซ้อนของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีมุมมองและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน การใช้ถ้อยคำที่มีน้ำหนักทางการเมืองในสื่อหรือคำพูดของผู้นำ เช่น “หากผู้นำทางการเมืองมีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่” อาจทำให้เกิดข้อโต้แย้งว่าเจตจำนงเพียงอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่ในการแก้ไขปัญหานี้
.
ดังนั้น การขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพจำเป็นต้องมีแนวทางที่รอบด้าน และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ประชาชนเข้าใจและมีส่วนร่วมมากขึ้น หากสามารถทำให้กระบวนการสันติภาพเป็นเรื่องของทุกคนได้ ก็มีโอกาสที่สังคมไทยจะหันมาให้ความสนใจกับประเด็นนี้มากขึ้น และสามารถเดินหน้าสู่สันติภาพที่แท้จริงได้ในอนาคต
.
เรียบเรียง : ซาฮารี เจ๊ะหลง