ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา 2025: บททดสอบอาเซียน ท่ามกลางเกมอำนาจของมหาอำนาจโลก

บทความโดย : อาจารย์รุสนันท์ เจ๊ะโซ๊ะ มหาวิทยาลัยมลายา มาเลเซีย

ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ไม่เพียงเป็นเหตุการณ์ชายแดนธรรมดาที่เกิดจากข้อพิพาทดินแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน หากแต่ได้กลายเป็น “บททดสอบทางยุทธศาสตร์” ที่สะท้อนถึงพลวัตเชิงอำนาจอันซับซ้อนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งกำลังตกอยู่ภายใต้แรงดึงรั้งจากมหาอำนาจโลกในยุคหลังสงครามเย็นใหม่

จุดปะทะบริเวณพรมแดนใกล้ปราสาทพระวิหารและตาเมือนธม อันเป็นพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์  ได้กลายเป็นเวทีแสดงออกของการใช้กำลังทหารอย่างเข้มข้น ด้วยอาวุธหนัก เครื่องบินรบ และจรวดพิสัยไกล จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก  และประชาชนในพื้นที่ต้องอพยพหลีกหนีภัยความรุนแรงข้ามจังหวัดและข้ามประเทศในเวลาเพียงไม่กี่วัน

ทว่า สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้มีนัยสำคัญเกินกว่าความขัดแย้งระหว่างสองรัฐ  คือบริบทที่ล้อมรอบอยู่  ทั้งการเมืองภายในของแต่ละประเทศ การขยายบทบาทของจีนในกัมพูชา  การวางตัวเชิงยุทธศาสตร์ของไทยในฐานะพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ  และการเคลื่อนไหวของรัสเซียในเงามืด  การปะทะในครั้งนี้จึงเป็นทั้งผลผลิตของความตึงเครียดในระดับภูมิภาค  และเครื่องมือในเกมใหญ่ของมหาอำนาจที่กำลังแข่งขันกันเพื่อครองอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความเงียบของจีนแต่แฝงไว้ด้วยการสนับสนุนกัมพูชาในเชิงยุทโธปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน การกดดันทางการทูตของสหรัฐฯ ผ่านคำเรียกร้องหยุดยิงจากผู้นำระดับสูง  ตลอดจนการวางตัวอย่างยืดหยุ่นของรัสเซีย  ล้วนเป็นเครื่องสะท้อนว่าพื้นที่ที่ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้ง “ภายในภูมิภาค” ได้กลายเป็น “สนามแข่งขันทางอำนาจ” ระหว่างศูนย์กลางอำนาจระดับโลกอย่างแท้จริง

ในท่ามกลางสถานการณ์ที่เปราะบางและซับซ้อน ความคาดหวังต่ออาเซียนในฐานะกลไกระดับภูมิภาคที่สามารถรักษาสันติภาพและเป็นเวทีไกล่เกลี่ยกลับเพิ่มสูงขึ้น  โดยเฉพาะเมื่อหลักการ “ไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิก” ซึ่งเคยเป็นแกนกลางของอาเซียน  กำลังถูกทบทวนอย่างจริงจังจากบริบทที่เปลี่ยนไป  กรณีเมียนมาคือหลักฐานชัดเจนว่า อาเซียนไม่อาจยืนอยู่เฉยต่อความรุนแรงภายในประเทศสมาชิก เมื่อมีการจำกัดบทบาทของตัวแทนรัฐบาลเมียนมาในเวทีอาเซียน และหลายประเทศเลือกบอยคอตผู้นำทหารอย่างเปิดเผย

ในสถานการณ์ล่าสุดของไทย–กัมพูชา เราก็เห็นบทบาทเชิงรุกของอาเซียนทันที เมื่อดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปี 2025 ออกมาแสดงท่าทีชัดเจน เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงและเสนอความช่วยเหลือในการเปิดโต๊ะเจรจา ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนว่า อาเซียนกำลังก้าวข้าม “เปลือก” แห่งฉันทามติแบบเดิม และเริ่มพัฒนาไปสู่กลไกที่มีพลังและความรับผิดชอบต่อภูมิภาคอย่างแท้จริง

เหตุการณ์ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เพียงการยิงกันระหว่างสองฝ่าย แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าอาเซียนกำลังยืนอยู่บนรอยร้าวของเสถียรภาพภายใน และบนเส้นทางที่กำลังถูกหล่อหลอมโดยแรงดึงรั้งจากภายนอก ซึ่งอาจเปลี่ยนทิศทางของภูมิภาคไปอย่างไม่อาจย้อนกลับได้

ความขัดแย้งชายแดนไทยกัมพูชา: จุดเริ่มและแนวโน้มปะทุ

แม้ไทยและกัมพูชาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกลับเปราะบางมาอย่างยาวนาน  โดยเฉพาะในประเด็นเขตแดนและผลประโยชน์ที่ทับซ้อนกัน ทั้งทางบกและทางทะเล  ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความคลุมเครือของเส้นเขตแดนที่ยังไม่ได้รับการรับรองร่วมกัน แต่ยังเชื่อมโยงถึงมิติของอำนาจ อธิปไตย และผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ที่ยากจะประนีประนอม

จุดเปราะบางที่สั่งสม

หนึ่งในข้อพิพาทสำคัญคือพื้นที่รอบ ปราสาทพระวิหาร ซึ่งแม้ศาลโลก (ICJ) จะตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาในปี 2505 แต่พื้นที่โดยรอบยังคงเป็นข้อพิพาทอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณ “พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร” ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิส่งผลให้มีการปะทะเป็นระยะ เช่น ในปี 2551 และ 2554

อีกจุดหนึ่งคือบริเวณปราสาทตาเมือนธม และพื้นที่ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์–อุดรมีชัย ซึ่งยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างเป็นทางการตามแนวสันปันน้ำตามสนธิสัญญาโบราณในยุคล่าอาณานิคม ขณะเดียวกัน พื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทยตอนล่าง โดยเฉพาะบริเวณใกล้จังหวัดตราด ยังเป็นที่ถกเถียงในเรื่องสิทธิการสำรวจทรัพยากรและการตั้งฐานประมง ส่งผลให้การเจรจาเรื่องเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) และการแบ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติยังไม่คืบหน้า

ปัจจัยร่วมสมัยที่กระตุ้นให้ความตึงเครียดปะทุ

ความขัดแย้งที่ปะทุในปี 2025 ไม่ได้มีเพียงต้นตอจากข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนเท่านั้น หากแต่ยังมีชนวนจากปัจจัยภายนอกและภายในหลายประการ เช่น:

  • ปฏิบัติการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ: ในช่วงต้นปี 2025 ไทยและหลายประเทศในอาเซียนได้ร่วมมือกับจีนในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งพบว่ามีฐานปฏิบัติการหลายแห่งตั้งอยู่ในกัมพูชา โดยเฉพาะในเมืองเศรษฐกิจพิเศษที่มีแรงงานข้ามชาติจากไทย ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างฝ่ายความมั่นคงทั้งสองประเทศ
  • การเร่งฟื้นฟูบทบาททางทหารภายในของกัมพูชา: หลังการถ่ายโอนอำนาจจากฮุนเซนสู่ฮุน มาแนต มีความพยายามในการรวมอำนาจทางทหารและ “สร้างความมั่นคงแห่งรัฐ” ผ่านการควบคุมชายแดนเข้มข้นยิ่งขึ้น ซึ่งอาจถูกมองจากไทยว่าเป็นการขยายบทบาททางยุทธศาสตร์ที่คุกคามดุลยภาพตามแนวชายแดน
  • กระแสชาตินิยมและการเมืองภายใน: ทั้งไทยและกัมพูชาต่างอยู่ในภาวะที่รัฐบาลต้องเผชิญแรงกดดันภายในสูง ความขัดแย้งภายนอกจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความชอบธรรมและเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาในประเทศ เช่น เรื่องเศรษฐกิจ และความไม่พอใจต่อผู้นำ

เหตุการณ์ล่าสุด: การปะทะและผลกระทบ

เมื่อเข้าสู่เดือนกรกฎาคม 2025 การปะทะอย่างรุนแรงได้ปะทุขึ้นในหลายจุดตลอดแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณปราสาทตาเมือนธม มีการใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบ ทั้งจรวด BM-21 ปืนใหญ่อัตตาจรและเครื่องบินขับไล่ F-16 จากฝั่งไทย

ยอดผู้เสียชีวิต มีทั้งทหารและพลเรือน โดยมีรายงานว่าเกินกว่า 30 รายในช่วงสัปดาห์แรก ขณะที่จำนวนผู้อพยพสูงกว่า 100,000 คน และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การค้าในพื้นที่ชายแดนหยุดชะงัก และเกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นโดยตรง

          แม้หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศจะออกแถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดยิงและเจรจา แต่สถานการณ์ยังคงตึงเครียด โดยเฉพาะในเชิงจิตวิทยาระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และแรงกดดันจากการเมืองภายในที่ทำให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายไม่สามารถ “ถอยหลัง” ได้อย่างง่ายดาย

บทบาทของมหาอำนาจ ใครแทรกแซง ใครได้ประโยชน์?

จีน: พลังเงียบแต่ทรงอิทธิพลในกัมพูชา และหมากยุทธศาสตร์ต่ออาเซียน

จีนได้วางรากฐานความสัมพันธ์กับกัมพูชา ในลักษณะพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังปี 2010 เป็นต้นมา ความร่วมมือดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการค้าและการลงทุน หากแต่ลึกลงไปถึงระดับความมั่นคง ความมั่นใจทางการเมือง และการแทรกซึมในระดับโครงสร้างรัฐ

ในมิติทางเศรษฐกิจ จีนคือผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในกัมพูชา โดยเฉพาะในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการทางรถไฟ เส้นทางคมนาคมระหว่างประเทศ นิคมอุตสาหกรรม และท่าเรือน้ำลึกดาราซากอร์ (Dara Sakor) ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้อ่าวไทย และถูกมองว่าอาจรองรับการใช้งานทางทหารในอนาคต

ในทางทหาร จีนเป็นแหล่งจัดหาอาวุธหลักให้แก่กัมพูชา และร่วมฝึกซ้อมทางทหารประจำปีภายใต้โครงการ Golden Dragon ขณะเดียวกัน กองทัพกัมพูชายังได้รับการฝึกอบรมและสนับสนุนอุปกรณ์จากจีนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ระหว่างสองกองทัพ

ในทางการทูต จีนให้การสนับสนุนกัมพูชาอย่างชัดเจนในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่กัมพูชาถูกวิจารณ์จากตะวันตกเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเมืองภายใน การสนับสนุนนี้ทำให้รัฐบาลพนมเปญมี “พลังหลังบ้าน” ที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ แม้ในสถานการณ์เผชิญหน้า

บทบาทจีนต่อกัมพูชา: สะพานสู่อาเซียน

กัมพูชาได้กลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่จีนใช้เป็น “ฐานที่มั่น” เพื่อเจาะเข้าสู่อาเซียนในเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะใน 3 ด้านหลัก:

1. การเมืองและเสียงโหวตในอาเซียน

ในหลายครั้งที่ผ่านมา กัมพูชาแสดงบทบาท “ปิดทาง” ไม่ให้อาเซียนออกแถลงการณ์วิพากษ์จีนเรื่องทะเลจีนใต้ เช่น ปี 2012 และ 2016 โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าจีนมีบทบาทในการชักจูงผ่านแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและการทูต นี่จึงทำให้กัมพูชากลายเป็น “ประตูหลัง” ที่จีนสามารถใช้เพื่อสกัดกลไกฉันทามติของอาเซียน

2. เศรษฐกิจและโครงสร้าง BRI

กัมพูชาเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ของจีน ซึ่งมีบทบาทในการสร้างความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบกและทางทะเล เชื่อมจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  อันนำไปสู่การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจีนในระดับภูมิภาคมากขึ้นเรื่อย ๆ

3. การขยายอิทธิพลเชิงอ่อน: Soft power ต่อกัมพูชา

จีนลงทุนอย่างต่อเนื่องในวัฒนธรรม สื่อมวลชน และทุนการศึกษาสำหรับชนชั้นนำกัมพูชา ผ่าน “วัฒนธรรมขงจื้อ” และสถาบันวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ จนเกิดความใกล้ชิดระหว่างผู้นำระดับสูงของทั้งสองประเทศ สิ่งนี้มีนัยทางยุทธศาสตร์ในระยะยาวมากกว่าการทหารเสียอีก

กัมพูชาไม่ใช่แค่พันธมิตร แต่เป็น ฟันเฟืองในกลไกจีนต่ออาเซียน

การที่จีนแทรกซึมในกัมพูชาในทุกมิติ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อรักษาพันธมิตรระดับทวิภาคี แต่เป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่ใช้ “กัมพูชา” เป็นจุดยึดสำหรับดุลอำนาจในอาเซียน ทั้งในเชิงการเมือง เศรษฐกิจ และ     ภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับแรงต้านจากประเทศอาเซียนอื่นที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ เช่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย

ในวิกฤตไทย–กัมพูชา 2025 นี้ จีนอาจดูเงียบในระดับสื่อ แต่การสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลัง—ทั้งด้าน   โลจิสติกส์ การทูต และจิตวิทยายุทธศาสตร์—กำลังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสถานการณ์ที่เสี่ยงจะสั่นคลอนความเป็นเอกภาพของอาเซียนในระยะยาว

สหรัฐอเมริกา: พันธมิตรยุทธศาสตร์ของไทย หรือแค่ผู้เล่นในเกมผลประโยชน์?

ท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2025 สหรัฐอเมริกาได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์  ได้โทรศัพท์หารัฐบาลทั้งสองฝ่ายเพื่อเรียกร้องให้หยุดยิงโดยทันที พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าจะ ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจและการทูต หากยังมีการใช้กำลังต่อกันอย่างต่อเนื่อง การเคลื่อนไหวนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งในเชิงยุทธศาสตร์ เพราะไม่เพียงสะท้อนถึงความกังวลของวอชิงตันต่อเสถียรภาพในภูมิภาค แต่ยังเป็นการ “เตือน” ถึงบทบาทของจีนที่กำลังขยายตัวในกัมพูชา

นโยบายเศรษฐกิจแบบ “America First”: ดาบสองคมต่อไทยและกัมพูชา

ภายใต้การกลับมาของรัฐบาลทรัมป์ นโยบายเศรษฐกิจแบบ “America First” ได้กลับมาอีกครั้ง โดยมีการประกาศขึ้น ภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ มองว่าแข่งขันกับอุตสาหกรรมภายใน เช่น เหล็ก ยางพารา และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

ไทยซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าหลายรายการเข้าสหรัฐ   เช่น    ชิ้นส่วนยานยนต์และอาหารแปรรูป

ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีโดยตรง แม้ยังคงรักษาสถานะ “พันธมิตรนอก NATO” (Major Non-NATO Ally) แต่แรงกดดันจากนโยบายการค้าได้ทำให้ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจไม่ราบรื่นเหมือนในอดีต

ส่วนกัมพูชา ได้รับผลกระทบจากมาตรการระงับสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP)      และการกดดันเรื่องสิทธิ

มนุษยชน ส่งผลให้พนมเปญยิ่งหันไปพึ่งพาจีนมากขึ้นในช่วงหลังปี 2020

แม้นโยบายของทรัมป์จะยังยึดถือไทยในเชิงยุทธศาสตร์ แต่ ด้านเศรษฐกิจกลับเต็มไปด้วยเงื่อนไขทางผลประโยชน์ที่ไม่มีความแน่นอน ซึ่งอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นระยะยาวของไทยต่อพันธมิตรฝั่งตะวันตก

ไทยยังคงเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ หรือไม่?

ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ไทยยังคงเป็นพันธมิตรที่มีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในบริบทของยุทธศาสตร์อินโด–แปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงเส้นทางยุทธศาสตร์ทางทะเลอย่างช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ บทบาทของฐานทัพอู่ตะเภา หรือความร่วมมือด้านความมั่นคงผ่านการฝึกคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) ที่ไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับสหรัฐมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความร่วมมือด้านข่าวกรองและการต่อต้านการก่อการร้ายก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐฯ ในปัจจุบันกำลังเผชิญแรงเสียดทานจากหลายทิศทาง โดยเฉพาะจากการใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างไทยกับจีน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูง ตลอดจนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์และเครือข่าย 5G นอกจากนี้ การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในไทยได้นำไปสู่แนวนโยบายที่พยายามสมดุลมหาอำนาจมากกว่าจะยึดข้างขั้วใดขั้วหนึ่งอย่างชัดเจน

ที่สำคัญคือ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งกลับมาสู่ทำเนียบขาวในปี 2024 มีลักษณะเน้นผลประโยชน์เฉพาะหน้ามากกว่าความร่วมมือในกรอบสถาบันระยะยาว ความไม่แน่นอนนี้ทำให้หลายประเทศในภูมิภาครวมถึงไทย เริ่มประเมินบทบาทของสหรัฐฯใหม่ในฐานะพันธมิตรที่พึ่งพาได้หรือไม่ในระยะยาว

บทบาทของสหรัฐฯ ในอาเซียน: ผู้ไกล่เกลี่ยที่ไร้อำนาจ?

แม้สหรัฐฯ จะผลักดันให้อาเซียนมีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งไทย–กัมพูชา แต่ในทางปฏิบัติกลับต้องเผชิญกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของอาเซียนเอง เช่น หลัก “ไม่แทรกแซง” และฉันทามติ ทำให้เสียงของวอชิงตันในเวทีอาเซียนไม่ได้ส่งผลในเชิงกลไกเท่าที่ควร ขณะเดียวกัน บางประเทศสมาชิก เช่น กัมพูชา เมียนมา และลาว กลับแสดงบทบาทต้านทานต่อแรงผลักจากสหรัฐฯ ในขณะที่เวียดนามและฟิลิปปินส์ยังคงเป็น “พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์” ที่ใช้การคานอำนาจจีนเป็นตัวตั้ง

สหรัฐอเมริกายังคงเป็น “ผู้เล่นรายใหญ่” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ทว่า ความสัมพันธ์ในยุคทรัมป์กลับเต็มไปด้วยความคลุมเครือเชิงนโยบายและผลประโยชน์ทำให้สถานะของไทยในเกมอำนาจโลกอาจต้องใช้ท่าที “ถ่วงดุลแบบยืดหยุ่น” มากกว่าการยึดขั้วชัดเจน

รัสเซีย: ผู้สังเกตการณ์ระยะไกลในเงามืดของยุทธศาสตร์เอเชีย

ในขณะที่จีนและสหรัฐฯ แข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อช่วงชิงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัสเซียกลับเลือกวางตัวอย่างระมัดระวัง และไม่แสดงบทบาทอย่างเปิดเผยต่อความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2025 ท่าทีนี้ไม่ใช่ความเพิกเฉย หากแต่เป็น “การวางหมากในระยะยาว” ที่สะท้อนแนวทางยุทธศาสตร์แบบรัสเซียซึ่งมุ่งเน้นการรักษาพันธมิตรในวงกว้างโดยไม่ผูกมัดกับฝ่ายใดอย่างชัดเจน

ร่วมแนวจีนแต่ไม่เผชิญหน้า: รัสเซียในเกมสมดุลเอเชีย

หลังสงครามยูเครน ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับจีนยิ่งแน่นแฟ้นในระดับยุทธศาสตร์ โดยทั้งสองประเทศต่างจับมือกันเพื่อต้านทานอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก ท่ามกลางฉากหลังของการจัดระเบียบโลกใหม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความขัดแย้งไทย–กัมพูชา รัสเซียเลือกจะไม่แทรกแซงโดยตรง ไม่ใช่เพราะขาดศักยภาพทางการทหารหรือการทูต แต่เนื่องจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่ใช่ภูมิภาคที่รัสเซียมีผลประโยชน์เร่งด่วนโดยตรงในระดับยุทธศาสตร์

ภาระจากสงครามยูเครนยังดึงทรัพยากรและความสนใจของรัสเซียไปในระดับสูง ทำให้เครมลินมุ่งเน้นการรักษาความสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์กับทุกฝ่ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทยและกัมพูชา ซึ่งรัสเซียมองว่าเป็นหุ้นส่วนสำคัญในอนาคต ทั้งในแง่การค้า อาวุธ และพลังงาน การวางตัวแบบ “ไม่เลือกข้าง” จึงเป็นกลยุทธ์เพื่อรักษาพื้นที่ทางการทูตในภูมิภาค และเตรียมพร้อมสำหรับการกลับเข้าสู่สมดุลอำนาจใหม่ในเอเชียในระยะยาว

ความสัมพันธ์กับไทยและกัมพูชา: เงียบแต่มีเสถียรภาพ

แม้รัสเซียจะไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นในเวทีอาเซียนเทียบเท่าจีนหรือสหรัฐอเมริกา แต่เครมลินยังคงเดินเกมสร้างอิทธิพลอย่างเงียบและเป็นระบบ โดยเฉพาะผ่านการเชื่อมโยงทางการทหาร พลังงาน และการทูต    พหุภาคี ความร่วมมือด้านยุทโธปกรณ์เป็นหนึ่งในหมุดยึดสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับไทย เช่น การจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ MI-17V5 เพื่อใช้ในภารกิจบรรเทาสาธารณภัย และการฝึกอบรมทางทหารระดับสูงที่เจ้าหน้าที่ไทยเคยเข้าร่วมในรัสเซีย  นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในการซ้อมรบผสมและการเยือนระดับผู้นำทหารที่ยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ

ด้านพลังงาน รัสเซียให้ความสำคัญกับการถ่ายโอนเทคโนโลยีในสาขาที่ใช้ได้ทั้งเพื่อการพัฒนาและเพิ่มอิทธิพลทางยุทธศาสตร์ เช่น พลังงานนิวเคลียร์เพื่อการศึกษาและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ซึ่งมีการเจรจากับทั้งกัมพูชาและเวียดนาม โดยเฉพาะในรูปแบบของโครงการพัฒนาโรงงานต้นแบบ  การวิจัยร่วม  และทุนสนับสนุนบุคลากรในสายพลังงาน

ในเวทีภูมิภาค รัสเซียยังมีสถานะในกลุ่มความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เช่น East Asia Summit (EAS) และ ASEAN Regional Forum (ARF) ซึ่งรัสเซียใช้เป็นช่องทางส่งผ่านท่าทีเชิงสนับสนุนอาเซียนแบบ “ไม่ล้ำเส้น” กล่าวคือ ให้ความเคารพต่อหลักอธิปไตยและไม่แทรกแซง แต่ก็พร้อมจะใช้เวทีเหล่านี้เป็นพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ในการสร้างสมดุลกับอิทธิพลของตะวันตกอย่างเป็นระบบ

บทบาทแบบ ระยะไกล”: แนวทางรัสเซียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แม้รัสเซียจะไม่ใช่ผู้เล่นหลักที่ปรากฏอยู่แถวหน้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหมือนจีนหรือสหรัฐฯ แต่ในความเป็นจริง มอสโกได้วางหมากยุทธศาสตร์ด้วยแนวทางเฉพาะตัวที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ รัสเซียมุ่งเน้นการสร้าง “เครือข่ายทางเลือกที่สาม” ให้กับประเทศในภูมิภาคที่ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจขั้วใดขั้วหนึ่งอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่แสวงหาความมั่นคงในแบบไม่ผูกพันกับเงื่อนไขเชิงอุดมการณ์แบบตะวันตก

แนวทางของรัสเซียเน้นการส่งเสริมความร่วมมือแบบทวิภาคีในมิติที่มีความยืดหยุ่นสูง เช่น ด้านการทหาร ความมั่นคง และพลังงาน โดยหลีกเลี่ยงการกำหนดกรอบความร่วมมือในเชิงการเมืองหรือคุณค่าประชาธิปไตย รัสเซียพยายามรักษาภาพลักษณ์ของพันธมิตรที่ “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” แต่พร้อมสนับสนุนอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อได้รับการร้องขอ

ในกรณีวิกฤตความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา รัสเซียจึงเลือกที่จะสงวนบทบาททางทูตไว้เบื้องหลัง ไม่แสดงจุดยืนอย่างเปิดเผยเหมือนสหรัฐฯ หรือจีน แต่ยังคงเคลื่อนไหวผ่านช่องทางที่ลึกกว่า เช่น การรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคี การถ่ายโอนเทคโนโลยี และความร่วมมือทางทหารที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของสื่อระดับโลก

แนวทาง “พันธมิตรที่ไร้เงื่อนไข” ของรัสเซียนี้ อาจทำให้มอสโกกลายเป็นพลังแฝงที่มีอิทธิพลมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  โดยเฉพาะเมื่อประเทศในภูมิภาคเริ่มเบื่อหน่ายกับการเลือกข้างระหว่างมหาอำนาจแบบขาวหรือดำ และหันมามองหาทางเลือกที่ยืดหยุ่นกว่าในเกมอำนาจโลก

ผลกระทบต่ออาเซียน: ความเป็นเอกภาพที่สั่นคลอน ท่ามกลางแรงเสียดทานภายใน

เหตุปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2025 เป็นมากกว่าข้อพิพาทชายแดนระหว่างสองประเทศ เพราะได้กลายเป็น “บททดสอบความเป็นเอกภาพของอาเซียน” อย่างถึงราก หากสถานการณ์ยืดเยื้อ หรือพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งระดับภูมิภาค อาเซียนอาจเผชิญ แรงเสียดทานภายใน ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากความแตกต่างด้านผลประโยชน์ กลุ่มพันธมิตร และแนวโน้มทางภูมิรัฐศาสตร์ของแต่ละประเทศสมาชิก

ความแตกแยกเชิงกลุ่ม: พันธมิตรภายในอาเซียนที่ไม่เป็นทางการ

อาเซียนแม้จะยึดหลัก “ไม่แทรกแซง” และ “ฉันทามติ” แต่เบื้องหลังกลับมีการแบ่งขั้วตามแนวทางของแต่ละประเทศ ซึ่งส่งผลต่อจุดยืนในประเด็นความมั่นคง ตัวอย่างเช่น:

  • ลาวและกัมพูชา: มีแนวโน้มใกล้ชิดกับจีนอย่างชัดเจน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการรับเงินลงทุนและการสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้มักจะไม่วิจารณ์จีน และอาจไม่เห็นด้วยกับการประณามพันธมิตรตนในเวทีอาเซียน
  • ไทยและฟิลิปปินส์: แม้มีความต่างทางการเมืองภายใน แต่ทั้งสองประเทศยังมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านความมั่นคง เช่น การฝึกคอบร้าโกลด์ (ไทย) และการป้องกันร่วมภายใต้ MDT (ฟิลิปปินส์) ซึ่งอาจส่งผลให้ทั้งสองประเทศมีแนวโน้มโน้มเอียงต่อแนวทางของสหรัฐฯ และกังวลการขยายบทบาทของจีน
  • เวียดนาม: แม้จะมีความร่วมมือกับจีนทางเศรษฐกิจ แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ เวียดนามยังระแวดระวังจีน และมีประวัติความขัดแย้งกับกัมพูชาทั้งจากสงครามอินโดจีนและปัญหาเขตแดน ทำให้เวียดนามอาจไม่เห็นด้วยกับบทบาทของกัมพูชาในสถานการณ์ปัจจุบัน

ตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตที่สะท้อน “จุดแตกหัก” ภายในอาเซียน ได้แก่:

  • ปี 2012: กัมพูชาในฐานะประธานอาเซียน ปฏิเสธการออกแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้ ส่งผลให้เป็นครั้งแรกที่อาเซียนไม่สามารถออก “Chairman’s Statement” ได้
  • ปี 2021–2023: การจัดการวิกฤตพม่า ภายหลังการรัฐประหาร อาเซียนเผชิญแรงกดดันจากประชาคมโลก แต่ไม่สามารถดำเนินมาตรการที่มีผลบังคับจริงได้

กลไกระงับข้อพิพาท: ยังอ่อนแอเกินไป?

แม้อาเซียนจะมีกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคง เช่น:

  • ASEAN Regional Forum (ARF): เวทีความร่วมมือด้านการทูตความมั่นคง
  • ASEAN Defence Ministers’ Meeting (ADMM/ADMM-Plus): กลไกด้านการป้องกันประเทศ
  • ASEAN Political-Security Community (APSC): เสาหลักความมั่นคงร่วมกัน

แต่กลไกเหล่านี้มีลักษณะเป็น “เวทีพูดคุย” มากกว่าการมี อำนาจบังคับหรือระงับข้อพิพาทโดยตรง ขาดการจัดตั้งกลไกไกล่เกลี่ยถาวร (Permanent Mediation Mechanism) ที่เป็นกลางและเชื่อถือได้

แนวโน้มอันตราย: เอกภาพในทางรูปแบบ แต่แตกแยกในทางปฏิบัติ

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในปี 2025 กำลังกลายเป็นบททดสอบสำคัญต่อความเป็นเอกภาพของอาเซียน หากกลไกของอาเซียนไม่สามารถรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือปล่อยให้มหาอำนาจภายนอก เช่น จีนและสหรัฐฯ เข้าแทรกแซงและสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในลักษณะที่ไม่สมดุล ย่อมเสี่ยงที่จะผลักดันให้เกิดภาวะ “สองมาตรฐาน” ภายในกลุ่มอย่างชัดเจน ซึ่งจะบั่นทอนทั้งความไว้วางใจและบทบาทของอาเซียนในระยะยาว

ผลกระทบที่ตามมานั้นอาจมีทั้งเชิงโครงสร้างและเชิงสัญลักษณ์  ประเทศสมาชิกบางรายอาจเริ่มลดความเชื่อมั่นในกลไกภูมิภาค และหันไปพึ่งพาความร่วมมือแบบทวิภาคีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การระงับข้อพิพาทในอนาคตเป็นไปอย่างล่าช้าและขาดพลังทางการทูตโดยรวม ความสามารถของอาเซียนในการรักษาสมดุลและความเป็นกลางในเวทีระหว่างประเทศก็อาจถูกตั้งคำถามมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแต่ละประเทศเริ่มมีท่าทีหรือแนวโน้มชัดเจนในการเลือกข้างมหาอำนาจต่างชาติ

ในบริบทนี้ อาเซียนอาจยังคงสามารถรักษาภาพลักษณ์ “เอกภาพในทางรูปแบบ” ผ่านถ้อยแถลงและปฏิญญาทางการเมืองได้ แต่ในทางปฏิบัติ ความแตกแยกในด้านยุทธศาสตร์ ความมั่นคง และผลประโยชน์เฉพาะชาติจะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจทำให้บทบาทของอาเซียนในฐานะกลไกกลางทางภูมิรัฐศาสตร์เสื่อมถอยลงในทศวรรษถัดไป หากไม่มีการปฏิรูปเชิงสถาบันที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

สงครามเย็นฉบับเอเชีย: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมรภูมิใหม่ของโลก

ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2025 แม้จะปะทุจากข้อพิพาทชายแดน แต่แท้จริงแล้วสะท้อนแรงกระเพื่อมของ การแข่งขันเชิงอำนาจระดับโลก ที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่หัวใจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ — ภูมิภาคที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียง “สนามต่อสู้ของสงครามตัวแทน” แต่วันนี้กลับกลายเป็น “หมากยุทธศาสตร์” ที่มหาอำนาจต่างแย่งกันยึดพื้นที่อิทธิพล

จีน: อำนาจนุ่มในคราบยุทธศาสตร์แห่งเงา

ในขณะที่มหาอำนาจตะวันตกมักใช้กำลังทางทหารและมาตรการเชิงเศรษฐกิจเพื่อขยายอิทธิพล  จีนกลับเลือกใช้แนวทางที่แนบเนียนกว่าแต่ทรงพลังผ่านสิ่งที่เรียกว่า “อำนาจนุ่ม” (soft power) โดยผสานเข้ากับยุทธศาสตร์เชิงโครงสร้างในระดับภูมิภาค โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ถือเป็นหมากสำคัญที่ปักกิ่งใช้ในการสานเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน การเงิน และดิจิทัลที่เชื่อมโยงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับระบบผลประโยชน์ของจีนอย่างแนบแน่น ซึ่งในเชิงยุทธศาสตร์แล้ว หมายถึงการลดอำนาจต่อรองของประเทศเล็ก และเพิ่มอิทธิพลจีนโดยไม่ต้องยิงกระสุนแม้แต่นัดเดียว

กรณีของกัมพูชาถือเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุดของยุทธศาสตร์นี้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลปักกิ่งกับพนมเปญแนบแน่นถึงระดับผู้นำ โดยจีนให้การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ การทหาร และการทูตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กัมพูชามักแสดงจุดยืนสนับสนุนจีนในเวทีอาเซียน ทั้งในกรณีทะเลจีนใต้ หรือในประเด็นความสัมพันธ์กับตะวันตก ด้วยเหตุนี้กัมพูชาจึงกลายเป็น “แนวหลังทางการเมือง” ของจีนที่พร้อมคานดุลอิทธิพลสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกภายในกลไกอาเซียน

นอกจากกัมพูชา  จีนยังแผ่อิทธิพลผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์และการลงทุนข้ามพรมแดนในลาว เมียนมา และมาเลเซียบางส่วน โดยเน้นรัฐที่มีระบอบการเมืองแบบรวมศูนย์ หรือมีปัจจัยเปราะบางทางเศรษฐกิจ  ซึ่งทำให้สามารถควบคุมอำนาจผ่านความช่วยเหลือและเงินกู้  จึงไม่น่าแปลกที่ในหลายครั้ง จีนสามารถ “กำหนดทิศทาง” ของมติหรือการดำเนินการของอาเซียนในเชิงอ้อม  โดยไม่ต้องปรากฏบนเวทีอย่างเปิดเผย

ยุทธศาสตร์ของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงไม่ใช่เพียงการลงทุนเชิงเศรษฐกิจ แต่เป็น “การร้อยโยงอำนาจ” ในระยะยาว ซึ่งอาจมีผลต่อสมดุลอำนาจของทั้งภูมิภาคอย่างลึกซึ้งในทศวรรษหน้า

สหรัฐฯ: อำนาจแข็งในเงาของพันธมิตรเก่า

ในวิกฤตความขัดแย้งไทย–กัมพูชา สหรัฐอเมริกายังคงแสดงบทบาทผ่านเครื่องมือเชิงโครงสร้างที่คุ้นเคย เช่น ความร่วมมือด้านความมั่นคง การฝึกซ้อมทางทหาร และการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างแรงกดดัน โดยเฉพาะภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้น “ภาษีลงโทษ” (punitive tariffs) เพื่อควบคุมพฤติกรรมของประเทศคู่ค้าระดับกลางอย่างไทยและกัมพูชา  กลายเป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ต่อพันธมิตรในภูมิภาคว่า  ท่าทีต่อมหาอำนาจย่อมส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจภายใน  ความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับไทยและฟิลิปปินส์  โดยเฉพาะการฝึกคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) และการแบ่งปันข่าวกรอง  จึงยังคงเป็นกลไกหลักที่วอชิงตันใช้ในการคานดุลอิทธิพลของจีน  ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้พันธมิตรจะไม่เหนียวแน่นเหมือนในอดีต แต่เครือข่ายเหล่านี้ยังคงเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยง “อำนาจแข็ง” ของสหรัฐฯ  ในภูมิภาคที่กำลังกลายเป็นสมรภูมิยุทธศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 21 อย่างไม่อาจปฏิเสธได้

รัสเซีย: ผู้วางหมากเงียบในเกมยืดเยื้อ

ท่ามกลางเกมอำนาจที่จีนและสหรัฐฯ ใช้แนวทางเผชิญหน้าตรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัสเซียกลับเลือกใช้ยุทธศาสตร์เงียบที่อาศัยการวางตัวอย่างไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด พร้อมแทรกซึมผ่านกลไกที่ไม่เปิดเผยโดยตรง จุดแข็งของรัสเซียอยู่ที่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านทหารในลักษณะไม่เป็นทางการ เช่น การฝึกอบรมและจัดหาอาวุธให้กับกองทัพในประเทศที่มีบทบาทน้อยในเวทีโลก ควบคู่กับการถ่ายทอดเทคโนโลยีพลังงาน โดยเฉพาะด้านนิวเคลียร์และพลังงานสะอาด ให้กับรัฐขนาดเล็กในอาเซียนซึ่งกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ไม่ถูกผูกขาดโดยมหาอำนาจหลัก นอกจากนี้ รัสเซียยังยึดหลักการวางตัวแบบ “ผู้ไม่ตัดสิน” ซึ่งต่างจากจีนและสหรัฐฯ ที่มักแสดงจุดยืนแข็งกร้าว แนวทางนี้จึงทำให้รัสเซียสามารถเข้าหาประเทศที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเลือกข้าง และกลายเป็นพันธมิตรในระยะยาวในเกมภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังยืดเยื้ออย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้

อาเซียน: สะพานสันติ หรือสนามประลอง?

อาเซียนในเวลานี้จึงไม่ได้เพียงแค่เผชิญความท้าทายจากความขัดแย้งภายใน  แต่ยังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากการเป็น “จุดตัด” ของอำนาจโลก การรักษาความเป็นกลางและเสถียรภาพไม่ใช่เรื่องของมารยาททางการทูตอีกต่อไป หากแต่คือบททดสอบว่า:

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกลายเป็น “สะพานเชื่อมอารยธรรม” หรือ “แนวรบใหม่ของสงครามเย็น”

เส้นแบ่งระหว่าง “การไม่เลือกข้าง” กับ “การสูญเสียอำนาจตัดสินใจ” บางลงทุกวัน และอาเซียนจำเป็นต้องเร่งสร้างกลไกภายในที่เข้มแข็งกว่าเดิม เพื่อไม่ให้กลายเป็นเพียง “หมาก” บนกระดานของผู้เล่นภายนอก

อ้างอิง
[1] ทรัมป์ขอให้ผู้นำไทย-กัมพูชาหยุดยิง ขู่จะไม่ตกลงภาษีด้วย:

https://www.bangkokbiznews.com/world/1191543?utm_source=chatgpt.com

[2] Feud between former ‘god brothers’ fuels Thailand-Cambodia border conflict:

https://www.ft.com/content/77836473-4809-4178-bad5-dc2b0b8acae2?utm_source=chatgpt.com

[3] The Fighting Between Thailand and Cambodia Isn’t About Territory. It’s Much More Serious:

https://time.com/7305413/thailand-cambodia-border-war-hun-sen-manet-paetongtarn-thaksin-shinawatra/?utm_source=chatgpt.com

[4] Thailand and Cambodia border dispute turns Violent: Conflict Explained and Military Assessment: https://usanasfoundation.com/thailand-and-cambodia-border-dispute-turns-violent-conflict-explained-and-military-assessment?utm_source=chatgpt.com

[5] Rising Tensions Between Thailand and Cambodia: Causes, Scenarios, Consequences, and Foreign Interests: https://lansinginstitute.org/2025/06/09/rising-tensions-between-thailand-and-cambodia-causes-scenarios-consequences-and-foreign-interests/?utm_source=chatgpt.com

[6] Trump wields trade threat in calls to Cambodia and Thailand to end fighting:

https://www.ft.com/content/49daa1b2-3d0e-4fdf-a0fd-c747883ee4be?utm_source=chatgpt.com

[7] Russia’s use of the instruments of statecraft in the Indo-Pacific:

[8] Building Bridges, Countering Rivals: Strengthening U.S.-ASEAN Ties to Combat Chinese Influence: https://www.csis.org/analysis/building-bridges-countering-rivals-strengthening-us-asean-ties-combat-chinese-influence?utm_source=chatgpt.com

[9] Thailand-Cambodia Clash Tests US Against Growing China Influence in Asia:https://www.newsweek.com/thailand-cambodia-clash-us-asia-2104309?utm_source=chatgpt.com