เครือข่ายพุทธ จชต. ชี้รัฐล้มเหลวต่อการจัดการโควิด มองการก่อเหตุในพื้นที่เป็นการซ้ำเติม


ตัวแทนฅนไทยพุทธชายแดนใต้เผยรัฐล้มเหลวในการบริหารจัดการโควิดและวัคซีน ด้านประชาชนมองว่าไม่ใส่ใจมากกว่าขาดความรู้ ย้ำคุณจะเลือกฉีดวัคซีนยีห้อไหน หรือ จะฉีด ไม่ฉีด ก็เป็นสิทธิของคุณ แต่คุณไม่มีสิทธินำเชื้อไปแพร่ให้ฅนอื่น ระบุโควิดชายแดนใต้เป็นพื้นที่สีแดง ดังนั้นก่อเหตุก็เป็นการซ้ำเติมฅนในพื้นที่ แจงเครือข่ายชาวพุทธเน้นทำงานร่วม ลงพื้นที่ช่วยทั้งพุทธและมุสลิม



รัฐล้มเหลวในเรื่องบริหารจัดการ ด้านประชาชนมองว่าไม่ใส่ใจมากกว่าขาดองค์ความรู้

รักชาติ สุวรรณ์ ประธาน เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ แสดงทรรศนะด้านโรคระบาดโควิดว่า “เป็นวิกฤติของฅนทั้งโลกที่ได้รับผลกระทบกันทุกฅน หากมองย่อส่วนเฉพาะในประเทศไทยมันค่อนข้างที่จะมีปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการ เช่น เรื่องการดูแลผู้ป่วย เรื่องโรงพยาบาลสนาม เรื่องผู้ติดเชื้อเสียชีวิตภายในบ้าน หรือ ริมถนน

แม้กระทั้งเรื่องการจัดการวัคซีน เช่น การนำวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ไปฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ด่านหน้า แต่กลับเห็นกลุ่มทางการแพทย์ไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้มีการฉีดจริงๆ ซึ่งเราสามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า วัคซีนมันหายไปไหน สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาไม่ไว้วางใจเจ้ากระทรวงแล้ว ซึ่งข้อบกพร่องของรัฐบาลชุดนี้สามารถพิสูจน์ได้มากพอสมควร ถ้าจะใช้คำว่าล้มเหลวก็น่าจะได้อยู่

ส่วนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ มันเพิ่มมุมมองด้านความเชื่อเข้ามาในกลุ่มฅนมุสลิมบางส่วนที่เขาไม่ต้องการนำสิ่งแปลกปลอมอย่างวัคซีนเข้ามาในร่างกายของเขา แม้กระทั้งการมองว่าโควิดเป็นเพียงแค่โควิดทิพย์ หรือ เป็นสิ่งสมมุติ หรือ สิ่งที่มโนขึ้นมาเอง มันเป็นชุดความเชื่อว่า หากพระเจ้าส่งโรคนี้มา พระเจ้าก็จะปัดเป่าให้หายไปเอง ซึ่งเป็นชุดความเชื่อของฅนมุสลิมบางกลุ่มในพื้นที่

ในส่วนของพี่น้องฅนไทยพุทธในพื้นที่จะไม่มีชุดความเชื่อแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะยอมฉีดวัคซีน เพราะคิดว่ามันจะเพิ่มภูมิต้านทานเข้าไปในตัว อาจเป็นเพราะความกลัวต่อโรคก็ได้

แต่มันจะมีชุดความคิดที่เหมือนๆ ฅนไทยทั้งประเทศ คือ การนำวัคซีนที่ดี มีคุณภาพ และประสิทธิภาพเข้ามาช่วยเหลือฅนในพื้นที่ ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นซิโนแวค (Sinovac) ก็จะไม่เอา หรือ ถ้าเป็นแอสตร้าเซนเนก้า (Astra Zeneca) ก็อาจจะต้องคิดดูก่อน แต่ถ้ามีซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ก็จะขอเป็นซิโนฟาร์มดีกว่า

ซึ่งผมคิดว่า เป็นสิทธิของเขาที่จะเลือกได้ คุณจะเลือกฉีดวัคซีนยีห้อไหนที่คุณคิดว่าดีก็สุดแล้วแต่คุณ ใครจะฉีด หรือ ไม่ฉีด ก็เป็นสิทธิส่วนตัวของเขา แต่เขาไม่มีสิทธิที่จะนำเชื้อของโรคไปแพร่ให้กับฅนอื่นได้ ซึ่งถ้าคุณไม่ฉีด คุณก็ต้องป้องกัน

แต่เท่าที่ผมสังเกตตอนลงพื้นที่พี่น้องฅนไทยพุทธส่วนใหญ่จะใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน แต่พี่น้องมุสลิมในพื้นที่จะรวมตัวกันตามร้านน้ำชาโดยที่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องการใส่ใจมากกว่าเรื่องการขาดองค์ความรู้ แต่ก็ใช่ว่าพี่น้องฅนไทยพุทธจะไม่มีการรวมกลุ่ม ก็จะมีให้เห็นบ้างรวมกลุ่มเพื่อสังสรรค์ หรือ รวมกลุ่มเพื่อเล่นการพนัน ก็จะเป็นประเด็นสุ่มเสี่ยงของพี่น้องฅนไทยพุทธไป” รักชาติ กล่าว



โควิดชายแดนใต้เป็นพื้นที่สีแดง การก่อเหตุก็เป็นการซ้ำเติมฅนในพื้นที่

รักชาติ เปิดเผยด้านเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ว่า “การแพร่ระบาดของโควิดในพื้นที่จะเป็นพื้นที่สีแดงทั้งหมด บ่งบอกถึงอาการที่หนักมาก แต่กลับมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการก่อเหตุจากฝ่ายไหนก็ตาม ผมมองว่าเป็นการซ้ำเติมพี่น้องประชาชนมลายูในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นฅนมุสลิม หรือ พุทธ ซึ่งดั้งเดิมก็เป็นฅนมลายูเช่นกัน แค่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้นเอง

ทั้งๆ ที่ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) เองเขาก็ได้ลงนามฝ่ายเดียวที่จะไม่ก่อเหตุในช่วงวิกฤติโควิด โดยเฉพาะกับเยาวชน เพื่อเปิดทางให้หน่วยงานด้านการแพทย์ทำงานได้สะดวก และจากที่ผมสังเกตเหตุการณ์การก่อเหตุของฝ่าย BRN เขาจะก่อเหตุโดยตรงกับคู่ขัดแย้งหลักที่ถืออาวุธด้วยกันเท่านั้น

อีกทั้งยังมีแถลงการณ์ที่อาจารย์ชินทาโร่ ฮาร่า แปลเป็นภาษาไทยอยู่ว่า BRN ได้ขอให้ประชาชนในพื้นที่ของเขาระมัดระวังจากการแพร่ระบาดของเชื้อด้วย โดยเขาไม่ได้หมายถึงฅนมุสลิมเพียงอย่างเดียว เขารวมไปถึงทุกฅนที่อยู่ในพื้นที่ด้วย

แต่ในขณะเดียวกันกลับมีเหตุการปิดล้อม ตรวจค้น รวมทั้งวิสามัญโดยรัฐ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่า ในกลุ่มการพูดคุยจะมีประเด็นพวกนี้อยู่ในวาระการพูดคุยหรือเปล่า เพราะคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีประเด็นเหล่านี้ในการพูดคุยด้วย ยิ่งช่วงโควิดระบาดหนักจนกลายเป็นพื้นที่สีแดงแล้วนั้น มันควรจะลดเรื่องเหล่านี้ก่อนหรือไม่ พักรบก่อนไหม แล้วมาช่วยคนที่กำลังจะแย่ต่อเรื่องโควิดอยู่ ณ ขณะนี้ก่อน” รักชาติ กล่าว



เครือข่ายชาวพุทธจะเน้นทำงานร่วม ลงพื้นที่แจกถุงยังชีพ ช่วยทั้งพุทธและมุสลิม

รักชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในประเด็นการให้ความช่วยเหลือช่วงการระบาดของโควิดระลอกแรกและระลอกที่สองทางเจ้าอาวาส วัดตานีสโมสร ก็ช่วยในเรื่องการแจกอาหารให้พี่น้องกลุ่มพุทธ และมุสลิม เปิดพื้นที่ให้มีการแลกเปลี่ยนพืชผัก ของกิน แต่พอระลอกที่สาม สถานการณ์มันหนักขึ้น แต่ละฅนก็ต้องกลับไปดูแลตัวเอง การรวมกลุ่มก็ต้องหลวมๆ กันไป

แต่สำหรับเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้จะทำงานเป็นเครือข่ายมากกว่า เช่น ลงพื้นที่ร่วมกับสมาพันธ์ไทยพุทธจังหวัดยะลา เพื่อนำถุงยังชีพไปแจก หลายองค์กรจะทำเรื่องครัวปั่นสุข ทำอาหารช่วยเหลือชาวบ้าน

หรือแม้แต่เป็นคณะประสานงานในระดับพื้นที่ หรือ สล.3 ซึ่งบทบาทเหล่านี้ในเชิงปฏิบัติกันจริง เราจะช่วยทั้งฅนไทยพุทธและฅนมุสลิมในกรณีที่เป็นหมู่บ้านที่มีผู้อาศัยอยู่ทั้ง 2 ศาสนา ก็คล้ายๆ กับกลุ่มองค์กรมุสลิมเขาก็ช่วยกันทุกฅนทั้งพุทธและมุสลิมเช่นกัน” รักชาติ กล่าว
.
#หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ประชาไท : https://www.facebook.com/108882546698/posts/10158563469356699/